Category Archives: บทเรียนวันสะบาโต

กจ.10:1-43 {ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติ}

 

10:1 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลีย
10:2 เป็นคนมีศรัทธามาก คือท่านและทั้งครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานต่อพระเจ้าเสมอ
10:3 เวลาประมาณบ่ายสามโมงนายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย”
10:4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
10:5 บัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา
10:6 เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล เปโตรจะบอกท่านว่าท่านควรจะทำอะไร”
10:7 ครั้นทูตสวรรค์ที่ได้พูดกับโครเนลิอัสไปแล้ว ท่านได้เรียกคนใช้สองคนกับทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นคนมีศรัทธามาก ที่เคยปรนนิบัติท่านเสมอ
10:8 และเมื่อโครเนลิอัสได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้คนเหล่านั้นฟังแล้ว ท่านจึงใช้เขาไปยังเมืองยัฟฟา
10:9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงวันเปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อจะอธิษฐาน
10:10 และเขาหิวมาก และอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่พวกเขายังจัดเตรียมอยู่ เปโตรได้เข้าสู่ภวังค์
10:11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
10:12 ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน คือสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและนกที่อยู่ในท้องฟ้า
10:13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด”
10:14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”
10:15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”
10:16 เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า
10:17 เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ดูเถิด คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหาและพบบ้านของซีโมนแล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้ว
10:18 และร้องถามว่า ซีโมนที่เรียกว่าเปโตรอยู่ที่นั่นหรือไม่
10:19 เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า “ดูเถิด ชายสามคนตามหาเจ้า
10:20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”
10:21 เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นซึ่งโครเนลิอัสได้ใช้มากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไร”
10:22 เขาจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในบรรดาชาวยิว โครเนลิอัสผู้นั้นได้รับคำเตือนจากพระเจ้าโดยผ่านทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ให้มาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่อจะฟังถ้อยคำของท่าน”
10:23 เปโตรจึงเชิญเขาให้เข้ามาหยุดพักอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นเปโตรก็ไปกับเขาและพวกพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย
10:24 ล่วงมาอีกวันหนึ่งเขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอยรับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว
10:25 ครั้นเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตร และหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน
10:26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”
10:27 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน
10:28 จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระราช บัญญัติห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน
10:29 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าจึงขอถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”
10:30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถืออดอาหารอยู่จนถึงเวลานี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ดูเถิด มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ
10:31 ผู้นั้นได้กล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นที่ระลึกถึงในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว
10:32 เหตุฉะนั้น จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ฝั่งทะเล ผู้นั้นเมื่อมาถึงแล้วจะกล่าวแก่ท่าน’
10:33 ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าจึงอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะฟังสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งท่านไว้”
10:34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด
10:35 แต่คนใด ๆ ในทุกชาติที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์
10:36 พระดำรัสที่พระเจ้าได้ทรงฝากไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง)
10:37 ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระดำรัสนั้นท่านทั้งหลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้นที่แคว้นกาลิลี ไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น
10:38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกพญามารเบียดเบียน ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงสถิตกับพระองค์
10:39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในแผ่นดินของชนชาติยิวและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าและแขวนไว้ที่ต้นไม้
10:40 ในวันที่สามพระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์และทรงให้ปรากฏ
10:41 มิใช่ทรงให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ทรงปรากฏแก่เหล่าพวกพยานซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แต่ก่อน คือทรงปรากฏแก่พวกเราที่ได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
10:42 พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่าพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย
10:43 ศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ผู้ใดที่เชื่อถือในพระองค์นั้นจะได้รับการทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์”

 

(ข้อ 1-8) โครเนลิอัสเป็นคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้าของชาวอิสราเอล ใช้ชีวิตแบบยำเกรงพระเจ้าและสัตย์ซื่อในส่วนของเขาเป็นการส่วนตัวอย่างเคร่งครัด ทำให้พระเจ้าทรงหันมาหาเขา มีการสำแดงชนิดที่ผู้เชื่อหลายๆ คน และส่วนมากยังไม่มีโอกาสได้รับเสียด้วยซ้ำ คือ การเห็นทูตสวรรค์ต่อหน้าต่อตา การที่ทูตสรรค์บอกรายละเอียดอย่างเจาะจงถึงสิ่งที่เขาต้องทำ คือ เชิญเปโตรมา และเป็นการบอกถึงพิกัดที่อยู่ของเปโตรอย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถทำตามได้ …

เปรียบเทียบภาพเดียวกับนางรูธที่รักพระเจ้าของแม่สามีและปรารถนาการอวยพรจากพระเจ้า จึงขอติดตามแม่สามี จนกระทั่งพระพรนั้นตกอยู่กับเธอ

 

นรธ.1:16-17
1:16 แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
1:17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่งกว่า”

 

นรธ.4:12-17
4:12 ขอให้วงศ์วานของท่านเหมือนวงศ์วานของเปเรศซึ่งทามาร์คลอดให้แก่ยูดาห์ เนื่องด้วยเชื้อสายซึ่งพระเยโฮวาห์จะประทานแก่ท่านโดยผู้หญิงคนนี้”
4:13 ดังนั้นโบอาสก็รับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน และท่านก็เข้าหานางและพระเยโฮวาห์ประทานให้นางตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง
4:14 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในอิสราเอล
4:15 ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากบุตรสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน”
4:16 แล้วนาโอมีก็รับเด็กนั้นมาอุ้มไว้แนบอก และรับเป็นผู้เลี้ยงดูแลเด็กคนนั้น
4:17 หญิงชาวบ้านข้างเคียงก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดกันว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด

 

(ข้อ 9-29 ) ในส่วนของเปโตรพระเจ้าทรงสำแดงกับเขาเป็นการส่วนตัวในรูปแบบนิมิต เพื่อเป็นการเตรียมใจและเปิดใจเขาก่อน อันเนื่องจากเปโตรเป็นชาวอิสราเอล ซึ่งมีธรรมเนียมห้ามข้องเกี่ยวกับชาวต่างชาติ (ข้อ 28) …  อีกทั้งสิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเปโตรและชนชาติอิสราเอล ไม่เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน … ในความไม่เข้าใจทั้งหมดถึงนิมิตนั้น แต่เปโตรเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และทุกสิ่งถูกเปิดความเข้าใจ เมื่อเขาได้พบกับโครเนลิอัส เป็นการบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้า

 

(ข้อ 30-33) การที่โครเนลิอัสเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าทำและสำแดงแก่ตนให้เปโตรฟัง เป็นการรับรอง confirm ซึ่งกันและกัน
–    สิ่งที่เปโตรได้รับนิมิตจากพระเจ้า เวลานี้เองที่ทำให้เปโตรเข้าใจทั้งสิ้นถึงนิมิตที่พระเจ้าสำแดงเรื่องอาหารในห่อผ้า (ข้อ 11-16)
–    สิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับโครเนลิอัส เพื่อเชิญเปโตรมาที่บ้านของตน

 

(ข้อ 34-43) เป็นคำตอบของการสำแดงของพระเจ้าทั้งต่อโครเนลิอัส และเปโตร …คือ…
–    การให้เปโตรประกาศข่าวประเสริฐกับคนต่างชาติ >> ทำลายกำแพงระหว่างชนชาติ
–    การให้คนต่างชาติรับเชื่อ >> จุดเริ่มต้นยุคใหม่ คือ ข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติ

กจ.10:1-43 {ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติ}  

1.    บางครั้ง บางสิ่ง โดยเฉพาะความยำเกรงพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ความสัตย์ซื่อ ผู้เชื่อบางคนยังสู้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าแต่มีใจปรารถนาหาพระองค์ไม่ได้เลย … ความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้ามีมาถึงคนที่สัตย์ซื่อและแสวงหาพระเจ้าเป็นแน่ แม้ว่าจะทำแบบคลำทาง ถูกบ้างผิดบ้าง เมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะส่งคน ส่งทูตสวรรค์ ในการนำเขาเข้ามาอยู่ในกระบวนการของพระเจ้าเอง … นั่นสะท้อนให้เห็นว่า… พระเมตตาของพระเจ้าไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ผู้เชื่อ ไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีไปถึง ใครก็ตามที่เสาะแสวงหาพระเจ้าต่างหาก

 

2.    หลายครั้ง หลายสิ่ง พระเจ้าสำแดงและเปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าจะผ่านทางใดก็ตาม (นิมิต , ความฝัน , คำตรัส , ประสบการณ์บางอย่าง , … ) แต่ตัวเราเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมด นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของผู้ที่ปรารถนาจะเดินตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ที่ปรารถนาจะให้พระองค์ทำงานผ่าน  เพราะแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หากว่ามั่นใจในเสียงที่ทรงตรัส ในสิ่งที่ทรงสำแดง และรู้แก่ใจว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้าเป็นแน่ … การเดินตาม การก้าวออกไป จะค่อยๆ เปิดเผยถึงความสมบูรณ์ของความเข้าใจแก่เราเอง …

ดั่งที่เปโตรก็ไม่เข้าใจถึงนิมิตนั้น ไม่รู้ว่าจะไปหาโครเนลิอัสทำไม ไปเพื่อทำอะไร แต่เขารู้ว่าพระเจ้าให้เขาไป เขาจึงไป และทุกสิ่งถูกเปิดเผยว่าพระเจ้าใช้เขาไปหาโครเนลิอัส เพราะพระเจ้าสำแดงแก่โครเนลิอัสเป็นการส่วนตัว เพื่อให้เปโตรมาประกาศ นำรับเชื่อ คนกลุ่มนี้ อันเป็นคนต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่เชื่อพระเจ้า …

จากการเชื่อฟังและทำตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เปโตรได้รับการสอนสิ่งใหม่ๆ เป็นผลให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์มาก่อน สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยผ่านมือเปโตร เพราะเขาไม่ถูกจำกัดการเชื่อฟังพระเจ้าไว้เพียงแค่ต้องเข้าใจทุกอย่างก่อน ต้องรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ก่อน แล้วจึงก้าว แท้จริงในพระคัมภีร์ทุกคนต่างก้าวไปกับพระเจ้าแบบก้าวต่อก้าวทั้งนั้น ไม่มีใครรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงตัดสินใจก้าว เพราะนั่นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมันสมบูรณ์แล้ว (ความเชื่อเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ คือ ยังไม่เห็น แต่เชื่อว่ามีอยู่จริง แล้วจึงได้รับ) … >>

>> ผู้ที่นั่งรอคอยให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนสมบูรณ์ก่อนแล้วจึงก้าว = ไม่ได้ก้าวเลยสักก้าวเดียว ไม่มีความเชื่อและเชื่อฟังเลยแม้สักน้อย (ในขณะที่พระองค์ทรงสำแดงอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่าที่ไม่ก้าว ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่ไม่ตัดสินใจต่างหาก หากสามารถพูดได้ว่าพระเจ้าเปิดเผยและสำแดงแก่ตน ก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ก้าวไม่ได้…เพราะการเปิดเผยและสำแดงนั่นแหละ คือ การที่พระเจ้าบอกให้เราก้าวแล้ว) เพราะจะไม่มีวันและเวลานั้น เนื่องจากอาจจะถูกเลื่อนยกไปที่คนอื่นแทน และเมื่อมันเกิดขึ้นจริงและสำเร็จจริง คนที่ได้ก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับอย่างที่เปโตรได้รับ

 

3.    ด้วยเหตุที่โครเนลิอัสดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนเขา ทำให้ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย ไม่เพียงโครเนลิอัสเท่านั้นที่มีประสบการณ์และได้รับ แต่ครอบครัวและคนสนิทก็ได้รับด้วยเช่นเดียวกัน (ข้อ 24 , 27) แสดงให้เห็นว่า โครเนลิอัสมีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างในด้านนี้จริงๆ และเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น

 

4.    การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสดใหม่ตามยุคและวาระเวลาของพระเจ้าเสมอ ดังนั้น หลายสิ่งอาจเป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยมีปรากฏขึ้นในอดีตมาก่อน แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ สิ่งที่เราทำได้ คือ… การตอบสนองพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างวางเงื่อนไข เหตุผลต่างๆ ลง แล้วก้าวไป เพื่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยตา และรับพระพรด้วยมือของเราเอง ควรระมัดระวังการปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้เปโตรไม่เข้าใจ แม้เปโตรจะมีคำถามกับพระเจ้า แต่เขามีความเชื่อฟังสูงกว่าข้อสงสัยของตนเอง มนุษย์ผู้จำกัด แต่พระเจ้าไม่ทรงจำกัดเลย

 

1181158011

 

261014

 

 

กจ.9:32-42 {เปโตรทำหมายสำคัญ}

 

9:32 ต่อมาเมื่อเปโตรเที่ยวไปตลอดทุกแห่งแล้ว ก็ลงมาหาพวกวิสุทธิชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย
9:33 เปโตรพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัสที่นั่น เขาเป็นอัมพาตอยู่กับที่นอนแปดปีมาแล้ว
9:34 เปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต์ทรงโปรดท่านให้หายโรค จงลุกขึ้นเก็บที่นอนของท่านเถิด” ในทันใดนั้นไอเนอัสได้ลุกขึ้น
9:35 ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองลิดดา และที่ราบชาโรนได้เห็นแล้วจึงกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
9:36 ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งเป็นศิษย์ชื่อทาบิธา ซึ่งแปลว่าโดรคัส หญิงคนนี้เคยกระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมากมาย
9:37 ต่อมาระหว่างนั้นหญิงคนนี้ก็ป่วยลงจนถึงแก่ความตาย เขาจึงอาบน้ำศพวางไว้ในห้องชั้นบน
9:38 เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา พวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้ชายสองคนไปหาท่าน เชิญท่านมาหาเขาโดยเร็ว
9:39 ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา เมื่อถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และบรรดาหญิงม่ายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้และชี้ให้ท่านดูเสื้อคลุมกับ เสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งโดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่
9:40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง
9:41 ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงเธอขึ้น จึงเรียกวิสุทธิชนทั้งหลายกับพวกหญิงม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย
9:42 เหตุการณ์นั้นลือไปตลอดทั่วเมืองยัฟฟา คนเป็นอันมากมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า
9:43 ต่อมาฝ่ายเปโตรอาศัยอยู่ในเมืองยัฟฟาหลายวัน อยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง

 

(ข้อ 32-32) เปโตรรักษาโรคด้วยการคำพูดธรรมดาๆ แต่มีสิทธิอำนาจทำให้คนเป็นอัมพาตหายได้

กจ.9:32-42 {เปโตรทำหมายสำคัญ}

 

1.    ครั้นเมื่อพระเยซูยังอยู่ก็ทำหมายสำคัญเหล่านี้ต่อหน้าสาวก เป็นการวางรากฐานให้แก่เขา แต่เพราะความที่พวกเขายังไม่เติบโตในความเชื่อ ยังไม่เข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อีกทั้งยังมีความเชื่อน้อย จึงไม่สามารถทำหมายสำคัญเหล่านี้ได้ในเวลานั้น … แต่เวลานี้ เขาสามารถทำในสิ่งที่พระเยซูทำได้แล้ว และสามารถทำในแบบอย่างที่พระเยซูทรงวางรากฐานไว้ได้แล้ว แสดงให้เห็นพัฒนาการความเชื่อของเขาที่เติบโตอย่างมาก ออกมาเป็นหมายสำคัญที่ทำ

ลก.10:19-20
10:19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย
10:20 แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าเพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”

 

2.    หมายสำคัญมักทำให้ผู้คนเปิดใจต้อนรับพระเยซู เนื่องจาก
♥    เห็นฤทธิ์อำนาจกับตา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถกระทำได้
   ปลดปล่อยจากการเป็นทาสสู่การป็นไท
♥    ตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการดำเนินชีวิต เช่น การรักษาโรค ถ้อยคำล้ำลึกที่เจาะจง

 

3.    การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างมากในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อคนใดก็ตาม สามารถทำหมายสำคัญเหล่านี้ได้ เพราะฤทธิอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่น เปาโล เปโตร ฟิลิป อัครสาวก และผู้เชื่อทุกคน

 

2

 

191014

 

 

กจ.9:20-31 {การพิสูจน์ชีวิตของเซาโล}

 

9:20 และโดยทันทีทันใดท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
9:21 คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกปุโรหิตใหญ่”
9:22 แต่เซาโลยิ่งมีกำลังทวีขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสนิ่งอึ้งอยู่ โดยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
9:23 และหลังจากนั้นอีกหลายวันพวกยิวได้ปรึกษากันจะฆ่าเซาโลเสีย
9:24 แต่เรื่องการปองร้ายของเขารู้ถึงเซาโล เขาทั้งหลายได้เฝ้าประตูเมือง คอยฆ่าเซาโลทั้งกลางวันและกลางคืน
9:25 แต่เหล่าสาวกได้ให้เซาโลนั่งในเข่งใหญ่ แล้วหย่อนลงจากกำแพงเมืองในเวลากลางคืน
9:26 ครั้นเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านใคร่จะคบให้สนิทกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก
9:27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครสาวก แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส
9:28 แล้วเซาโลเข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม
9:29 ประกาศออกพระนามของพระเยซูเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย
9:30 เมื่อพี่น้องรู้อย่างนั้นจึงพาท่านไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งไปยังเมืองทาร์ซัส
9:31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความปลอบประโลมใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น

กจ.9:20-31 {การพิสูจน์ชีวิตของเซาโล}

 

1.    การที่เซาโลเคยต่อต้านพระคริสต์อย่างที่สุด กลับใจใหม่มาเชื่อและเดินติดตามพระเจ้า ย่อมยังคงมีภาพเก่าๆ ของพฤติกรรมเซาโลติดตาผู้อื่นอยู่ เช่น การเข่นฆ่า การข่มเหง คริสเตียน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เชื่อคนอื่น แม้เซาโลจะมีประสบการณ์ที่เด่นชัดจากพระเยซูด้วยตนเองก็ตาม ถึงกระนั้นเซาโลไม่ได้ตีอกชกตัว โกรธผู้อื่น แต่เขากลับพิสูจน์ชีวิต พิสูจน์ผลแห่งการกลับใจใหม่ของเขา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างดี ประกาศพระนามพระคริสต์อย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆ วางคำครหาและการไม่ยอมรับลง แต่เดินหน้าติดตามพระเจ้าอย่างที่สุดในส่วนของตนเอง จนกระทั่งผู้เชื่อคนอื่นเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง และเชื่อวางใจในตัวเซาโลว่าเขากลับใจใหม่แล้วจริงๆ … เป็นปกติที่คนเราจะไม่ได้รับการยอมรับในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่ควรกระทำอย่างแรก … คือ … การจดจ่อในการยืนหยัดเดินติดตามพระเจ้าของตนอย่างสุดใจ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ตนเองจนผู้อื่นเห็นและสัมผัสได้ในที่สุด และเหตุนี้เองพระเจ้าจะเป็นผู้อยู่ฝ่ายเรา

 

2.    (ข้อ 22) เซาโลไม่ได้มัวแต่นั่งท้อใจที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือการสนับสนุนเป็นอย่างดีในการเดินติดตามพระเจ้าของตนเอง แต่เขากลับมีกำลังใหม่ ซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะท้อนให้เห็นถึงขนาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ที่เขาแสวงหา… ท่ามกลางเสียงของผู้เชื่อเดิม , ท่ามกลางการรับผลเดิมๆ ที่เขาทำ , ท่ามกลางการพยายามเข้าใจวิถีชีวิตใหม่ในการเดินติดตามพระเจ้า ,… ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเซาโลเลย ที่ละทิ้งตำแหน่ง เกียรติยศชื่อเสียงที่มีในอดีต หันกลับมาหาพระเจ้าและรับใช้อย่างจริงจัง แต่เพราะเขามีประสบการณ์ตรงที่ชัดเจนกับพระเยซู (กจ.9:3-9)  ทำให้เขาไม่ลดละและหันหลังกลับไป แม้ปราศจากที่พึ่งพา แต่เขากลับได้รับกำลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

กจ.9:3-9
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย

 

3.    (ข้อ 27-30) เมื่อเซาโลได้พิสูจน์ชีวิตด้วยการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจในส่วนของตนเอง ทำให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่หวาดระแวงเซาโลจากภาพในอดีตของเขา ได้เห็นว่าเซาโลเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ เขาเป็นคนของพระเจ้าแล้วจริงๆ การช่วยเหลือและสนับสนุนมาถึงอย่างมาก… แสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อในสมัยนั้นยินดีจะช่วยเหลือ ผู้ที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือกันและกันในความเชื่อ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง อีกทั้งเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรประกาศพระนามของพระคริสต์ โดยใครทำอะไรได้ก็ทำ ไม่มีเกี่ยงงอน (ข้อ 25)

 

4.    (ข้อ 31) พระราชกิจของพระเจ้าจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก หากผู้เชื่อร่วมแรงร่วมใจกัน ในการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้สวนกระแสโลก คือ กระแสการต่อต้าน … แต่ยิ่งมีการต่อต้านมากเท่าไร การฟื้นฟูอันเนื่องจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งมากเท่านั้น ทั้งนี้การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้เชื่อเป็นปัจจัยสำคัญ

 

Be-In-This-Moment

 

191014

 

 

 

กจ.9:1-19 {ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล}

 

9:1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต
9:2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
9:10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
9:11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
9:12 และในนิมิตเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”
9:13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมาก
9:14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และชนชาติอิสราเอล
9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา”
9:17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านวางมือบนเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา
9:19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน

 

(ข้อ 1-2) เซาโลยังคงยืนหยัดและขันแข็งในการต่อต้านผู้ที่ติดตามพระเยซู… เขาคิดว่าสิ่งนี้คือ การรับใช้พระเจ้าพระบิดา และเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ตามที่เขาได้เล่าเรียนมา ตามขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา … ด้วยเหตุที่คิดว่าพระเยซูลบหลู่พระบิดา คนที่ติดตามพระเยซูก็ด้วยเช่นกัน ความคิดเช่นนี้เกิดจากการขาดประสบการณ์ตรงกับพระเยซู เขาได้แต่ฟังจากคำบอกเล่า (จากบรรดาปุโรหิตและผู้ที่เคร่งครัดในบัญญัติ) ทำให้จิตใจภายในที่รักและภักดีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเดิมทุน แต่กลับไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้า … เหตุนี้เองพระเจ้าจึงเลือกเซาโล เลือกที่จะพบกับเซาโล เพราะใจที่รักพระเจ้าของเขา …

 

(ข้อ 3-9) ประสบการณ์ตรงในการทรงเรียกและพบพระเยซูของเซาโล… ไม่เพียงแค่เซาโลเท่านั้น แต่คนที่ติดตามเซาโลมาด้วยก็เป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำต่อเซาโล
♦ เซาโลรู้ว่าตนเองกำลังรับใช้และปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ เป็นความรู้และเชื่อตามแบบอย่างบรรพบุรุษ แต่เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าเลยสักครั้ง… การที่เซาโลกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” (ข้อ 5) เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอยากรู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัวของเขาเอง เป็นการเรียกหาพระองค์ เป็นการร้องขอการสำแดงพระองค์เองต่อตัวเขาอย่างเจาะจง
♦ การตาบอดของเซาโล ไม่ได้เกิดจากโรคร้าย ไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นหมายสำคัญและตราประทับให้เซาโลมีประสบการณ์ที่ตราตรึง ไม่ใช่แค่ชั่วครู่แล้วหลงลืม แต่เป็นระยะเวลาถึง 3 วัน เพื่อเซาโลจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าประสบการณ์ที่ตนเองมีกับพระเจ้านั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง… แต่เป็นความจริงที่เขาเผชิญหน้ากับพระเยซูโดยตรงและเป็นประสบการณ์ที่เป็นดั่งตราประทับที่หนักแน่นมั่นคง เพื่อการประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ในอนาคต

 

(ข้อ 10-19) อานาเนียเป็นบุคคลหนึ่งที่รักพระเจ้า และพระองค์ใช้ให้ไปวางมือเซาโลเพื่อให้เซาโลมองเห็น …
ท่าทีแรกสุดของอานาเนีย เมื่อภาระกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้มาถึง คือ… หวั่นกลัว ไม่ต้องการจะทำตาม เพราะเหตุที่เซาโลทำร้ายผู้รับใช้และติดตามพระเยซูคริสต์อย่างหนัก ข่าวสารเรื่องเซาโลหนักแน่นมั่นคงในการทำร้ายคนของพระเจ้านั้นกระจายออกไปจนใครๆ ก็หวั่นกลัว  ไม่เว้นแม้แต่อานาเนีย… แต่เมื่อพระเจ้าตรัสถึงสิ่งที่เขาต้องทำและสิ่งที่พระเจ้าจะทำแก่เขา เป็นเหตุให้อานาเนียวางความหวาดกลัวนั้นลง เขาไม่ได้มัวแต่นั่งต่อรองพระเจ้า ไม่ได้มัวแต่หยิบยกเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย หรือไปใช้คนอื่นแทน… แต่เขากลับก้าวตามพระเจ้าอย่างไม่มีข้อแม้ …  แม้ว่าเขายังมีความหวั่นกลัวอยู่ก็ตาม แต่เขาเกรงกลัวต่อพระเจ้าผู้ใช้เขามากกว่า เขาเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อข่าวสาร มากกว่าเชื่อสันชาตญาณหรือเนื้อหนังของตนเอง… และพระเจ้าก็รับรองอานาเนีย จนกลายเป็นคนที่วางมือเซาโลและเป็นผู้ที่วางรากฐาน เป็นแบบอย่างให้กับเซาโลอย่างแท้จริง

 

ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล

1.    ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่รักและสัตย์ซื่อในการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ อย่างที่สุด แม้จะผิดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าและแผนการณ์พระเจ้าไปบ้าง บางครั้งอาจถึงขั้นเป็นผู้ต่อต้านการงานของพระเจ้าเสียเองด้วยซ้ำ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว) … แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะนำกลับมายังทางที่ถูกเป็นแน่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ชันสูตรจิตใจภายในลึกกว่ามนุษย์ ที่มองเพียงแค่การกระทำเท่านั้น

 

2.    บางสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา อาจมองดูเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีและพึงประสงค์สักเท่าไรนัก แต่หากสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เพื่อเป็นประสบการณ์ตรง ย่อมเป็นสิ่งดีเพื่อเราจะไม่หลงลืมง่ายๆ และไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้อย่างง่ายๆ … ธรรมชาติมนุษย์มักหลงลืมสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทำอย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องดีที่พระเจ้าให้เราแต่ละคนมีประสบการณ์ตรงบางอย่างที่เจาะจง และฝังลึกลงไปในความทรงจำ ในจิตวิญญาณ เพื่อวันข้างหน้าจะสามารถประกาศพระนามพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ได้อย่างแท้จริง

 

3.    การเชื่อฟังพระเจ้านั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด สำคัญกว่าเหตุผลอันเป็นจริง … เราจำเป็นต้องวางทุกสิ่งลงที่เป็นเหตุให้ไม่กล้าทำตาม หรือเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า (***แน่นอนว่าหลายๆ ครั้ง หลายๆ เรื่องไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นเรื่องยากเสียด้วยซ้ำ… แต่มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจและการมอบถวาย***) เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งและเรียกให้ทำสิ่งใดๆ นั่นคือ… สิ่งที่เราจำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญูทรงรู้ทุกสิ่งและทุกสิ่งจะบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้าเมื่อเราแต่ละคนเชื่อฟัง

 

repentance

 

051014

 

 

กจ.8:26-40 {ก้าวต่อก้าวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

8:26 แต่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้นไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา ซึ่งเป็นทางป่าทราย”
8:27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิด มีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสี พระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม
8:28 ขณะนั่งรถม้ากลับไป ท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์อยู่
8:29 ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถม้านั้นเถิด”
8:30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”
8:31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน
8:32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้ ‘เขาได้นำท่านเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น
8:33 ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว’
8:34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”
8:35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงเรื่องพระเยซู
8:36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “ดูเถิด มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”
8:37 และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
8:38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถม้า และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา
8:39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี
8:40 แต่มีผู้ได้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมืองจนท่านมาถึงเมืองซีซารียา

 

(ข้อ 26-30) แบบอย่างของการทำตามเสียงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสเรียกให้ทำ … ไม่ต้องร้องขอเหตุผลรองรับ ไม่ต้องรอการรับรอง ไม่ต้องแสดงความสงสัย ไม่มีข้ออ้างในการไม่รู้จักขันที ใดๆ ทั้งสิ้น… แต่ยินดีก้าวตามทันทีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียกให้ทำ .. ทันทีที่ไปถึงสถานที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้ เหตุการณ์ต่างๆ ได้บรรจบ ฝ่ายขันทีก็แสวงหาพระเจ้าจนกระทั่งพระเจ้าส่งคนมาช่วยให้เขาเข้าใจความล้ำลึกของพระเจ้า

 

(ข้อ 31-35) ฟีลิปไขข้องค้องใจและให้ความกระจ่างในพระวจนะของพระเจ้าแก่ขันที ทำให้เขาเปิดใจต้อนรับและยอมรับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นคำตอบของพระวจนะนั้น

 

(ข้อ 36-38) ขันทีต้องการแสดงออกถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงด้วยการรับบัพติศมา … เทียบกับศักเคียสที่แสดงการกลับใจใหม่ด้วยการบริจาคกับคนอนาถาและคืนให้ผู้ที่เคยโกงถึง 4 เท่า

ลก.19:8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ดูเถิด พระองค์เจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า”

 

(ข้อ 39-40) ฟีลิปมีประสบการณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์รับเขาไปอีกที่หนึ่ง เป็นประสบการณ์ตรงที่ขันทีเป็นพยาน อีกทั้งเป็นประสบการณ์ตรงของฟีลิปอย่างเจาะจงด้วย (แบบที่ไม่มีใครเหมือน นอกจากโมเสสและเอลียาห์ ถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งที่ไม่ตาย และไม่มีใครหาศพเจอ , แต่กรณีของฟีลิปเป็นการรับไปยังอีกสถานที่หนึ่ง) …

 

 

ก้าวต่อก้าวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

1.    เมื่อพระเจ้าทรงทำทุกสิ่งจะบรรจบกันอย่างลงตัวในทุกฝ่ายเอง เนื่องจากฝ่ายหนึ่งร้องเรียกหาพระเจ้า อีกฝ่ายหนึ่งยินดีเชื่อฟังและตอบสนองพระวิญญาณบริสุทธิ์ …

♥    หากพระเจ้าเรียกให้เราทำอะไร แสดงว่ามีเหตุและผลของมันอยู่ ซึ่งเราอาจไม่รู้จนกว่าจะถึงเวลานั้น แต่หากพระเจ้าเรียกจงรู้ไว้เถิดว่า พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด มีบางสิ่งรออยู่เป็นแน่!!!
(*** ข้อควารระวัง หากไม่ตอบสนอง แผนการณ์ของพระเจ้าไม่ได้ล่มเป็นแน่ พระองค์จะใช้สิ่งอื่น คนอื่น ทดแทน เนื่องจากทรงฟังเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งที่ร้องทูลอยู่… ตัวอย่าง… ท้ายที่สุดพระเจ้าใช้ลาให้พูด)

♥    หากเราร้องเรียกหาพระเจ้า เสาะแสวงหาพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พระองค์จะทรงฟังเสียงของเราเป็นแน่… และจะมีบางสิ่ง บางอย่าง บางคน บางเหตุการณ์ ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเราอย่างแน่นอน

 

 

2.    เมื่อคนกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ย่อมมีผลแห่งการกลับใจใหม่ออกมาให้เห็นเป็นแน่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้เติมเต็มในแต่ละคนเอง เพื่อให้ได้มีประสบการณ์ตรงกับพระองค์

 

3.    การก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบก้าวต่อก้าว นอกเสียจากจะได้มีส่วนในสิ่งที่พระเจ้าใช้ผ่านมือ ได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าทำกับตา ไม่เพียงเท่านั้น… แต่จะมีประสบการณ์พิเศษบางอย่างจะเกิดขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง (แบบที่อาจไม่มีใครเหมือน หรือน้อยคนที่ได้รับ … เช่นเดียวกับฟีลิป… ) เพราะการก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบก้าวต่อก้าว หมายถึง … การที่เราเชื่อ วางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกระทั่งเชื่อฟังออกมาอย่างไร้ซึ่งข้อสงสัย คำถาม หรือขอบเขตใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเสียงตรัสของพระองค์ที่มาถึงเท่านั้นก็ยินดีก้าวตามในทันทีโดยปราศจากเงื่อนไข…  ผู้ที่มีหัวใจเช่นนี้ ย่อมได้รับสิ่งที่พิเศษ สิทธิพิเศษ และประสบการณ์พิเศษ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นแน่

 

2014625101232-images (7)

 

280914

 

 

กจ.8.1-25 {การฟื้นฟูอย่างมากท่ามกลางการข่มเหงผู้เชื่อ}

 

8:1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้นเซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครสาวกได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับ สะมาเรีย
8:2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง
8:3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก
8:4 ฉะนั้นฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น
8:5 ส่วนฟีลิปจึงลงไปยังเมืองสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง
8:6 ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้น
8:7 ด้วยว่าผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ
8:8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น
8:9 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยทำเวทมนตร์ในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ
8:10 ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “ชายคนนี้เป็นมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า”
8:11 คนทั้งหลายนับถือเขา เพราะเขาได้ทำเวทมนตร์ให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว
8:12 แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อ และรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง
8:13 ฝ่ายซีโมนเองจึงเชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นการอัศจรรย์กับหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่งฟีลิปได้กระทำ
8:14 เมื่อพวกอัครสาวกซึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า ชาวสะมาเรียได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขา
8:15 ครั้นเปโตรกับยอห์นลงไปถึงก็อธิษฐานเผื่อเขา เพื่อให้เขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
8:16 (ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับผู้ใด เป็นแต่เขาได้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูเจ้าเท่านั้น)
8:17 เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนเขา แล้วเขาทั้งหลายก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
8:18 และเมื่อซีโมนเห็นว่า คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการวางมือของอัครสาวก จึงนำเงินมาให้อัครสาวก
8:19 พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าจะวางมือบนผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”
8:20 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่ซีโมนว่า “ให้เงินของเจ้าพินาศไปด้วยกันกับเจ้าเถิด เพราะเจ้าคิดว่าจะซื้อของประทานแห่งพระเจ้าด้วยเงินได้
8:21 เจ้าไม่มีส่วนหรือส่วนแบ่งในการนี้เลย เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า
8:22 เหตุฉะนั้น จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้านี้ และอธิษฐานขอพระเจ้าบางทีพระองค์จะทรงโปรดยกความผิดซึ่งเจ้าคิดในใจของเจ้า
8:23 ด้วยเราเห็นว่าเจ้าจะต้องรับความขมขื่นและติดพันธนะแห่งความชั่วช้า”
8:24 ฝ่ายซีโมนจึงตอบว่า “ขอท่านอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อเหตุการณ์ที่ท่านได้กล่าวแล้วนั้นจะไม่ได้อุบัติแก่ตัวข้าพเจ้าสัก อย่างเดียว”
8:25 ครั้นพวกอัครสาวกเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ประกาศข่าวประเสริฐตามทางในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายแห่ง

 

(ข้อ 1-8) แม้มีการข่มเหงเกิดขึ้นอย่างมากมายจนกระทั่งทำให้ผู้เชื่อกระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการงานของพระเจ้าได้ แต่กลับยิ่งทำให้การประกาศข่าวประเสริฐถูกแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ตามที่ผู้เชื่อถูกกระจายไป

 

(ข้อ 14-17) เมื่ออัครทูตได้ยิน ได้รับแจ้ง ได้ทราบข่าวคราว ว่าเกิดการฟื้นฟูที่สะมาเรีย ก็รีบให้การสนับสนุนทันที โดยส่งเปโตรและยอห์นมาช่วยฟีลิปวางรากฐาน และพาผู้เชื่อใหม่ให้ได้มีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเร็วที่สุด … การทำงานของพระเจ้าในยุคนั้นเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผู้อาวุโสในความเชื่อมากกว่าจะทำการสนับสนุนผู้อ่อนกว่า ดังเช่น อัครสาวกสนับสนุนการรับใช้ของฟีลิป แม้ฟิลิปเพิ่งเชื่อไม่นาน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสนับสนุนกันจึงเป็นสิ่งที่คริสตจักรในสมัยอัครทูตกระทำเป็นปกติ โดยไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทุกคนต่างร่วมกันรับใช้ และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเต็มขนาด ในพระนามพระเยซูคริสต์

 

(ข้อ 9-13 , 18-24) ซีโมนคนเล่นคาถาอาคม ที่กลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซู เนื่องจากได้เห็นการอัศจรรย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขายอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า รับบัพติศมาในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า … แต่ด้วยวิถีชีวิตเดิมๆ ความเข้าใจเดิมๆ และการทำมาหากินแบบเดิมๆ ทำให้เขาคาดหวังผลประโยชน์กำไรจากหมายสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำ ว่าจะสามารถหารายได้สร้างเงินเข้ากระเป๋าตนเองได้ เขาขาดความรู้ความเข้าใจในการเดินติดตามพระคริสต์ ว่าต้องมีวิถีชีวิตใหม่ด้วย … แต่เปโตรได้สั่งสอนเขาในทางที่ถูกต้อง ชี้ให้เห็นในสิ่งที่เขาคิดผิด มีเจตนาที่มิชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ทำให้เขาเข้าใจ กลับใจใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างถูกต้องชอบธรรม

 

(ข้อ 25) การขยายและการฟื้นฟูมากมาย

 

การฟื้นฟูอย่างมากท่ามกลางการข่มเหงผู้เชื่อ

 

1.    ไม่ว่าผู้เชื่อจะอยู่ที่ใด เป็นใครก็ตาม ที่ยังคงขมักเขม้น สัตย์ซื่อในการแสวงหาและเดินติดตามพระเจ้า อีกทั้งยังเคลื่อนในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย่อมมีหมายสำคัญเกิดขึ้น และติดตัวเขาไป … การเดินกับพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยสถานที่ บุคคล ตำแหน่ง หรือแม้แต่การถูกข่มเหง แต่พระเจ้าทำงานได้อย่างเต็มขนาดในผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม …  หมายสำคัญของพระเจ้าที่ฟีลิปทำ ไม่ได้น้อยไปกว่าที่อัครสาวกทำเลย ขนาดคนเล่นคาถาอาคมยังกลับใจใหม่ หันมาเดินติดตามพระคริสต์ได้ ย่อมหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในตัวฟีลิปอย่างแท้จริง แม้ในขณะนั้นเขาไม่มีอัครสาวกคอยสอนหรือชี้นำก็ตาม … ดังนั้นไม่ว่าผู้เชื่อจะเป็นใคร อยู่ที่ไหนก็ตาม  สามารถให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานนำการฟื้นฟูได้เช่นเดียวกัน ทำหมายสำคัญผ่านได้เช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่ทำการนั้นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์เอง

 

2.    การข่มเหงไม่สามารถหยุดยั้งแผนการณ์ของพระเจ้าได้เป็นแน่ แต่ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและการประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งกว้างไกลออกไปยิ่งๆ ขึ้น

 

3.    ทุกคนรับใช้พระเจ้าในส่วนที่ตนเองถนัดและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟูที่มาอย่างรวดเร็วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อประกาศพระนามพระเยซู นอกจากจะได้ทำหมายสำคัญ ทำให้ได้เห็นอัศจรรย์ในสิ่งที่พระเจ้ากับตาแล้ว ยังเป็นการพัฒนาชีวิตในฝ่ายวิญญาณไปพร้อมๆ กัน

 

4.    เมื่อมีผู้เชื่อใหม่ เป็นปกติที่คนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตใหม่ที่ชอบธรรม การสั่งสอนตามพระวจนะของพระเจ้า จะทำให้ผู้เชื่อเหล่านั้นเติบโตขึ้นได้อย่างดี

 

5.    เราไม่สามารถใช้ของประทานที่พระเจ้ามอบให้กับเรา เพื่อแสวงหารายได้ หาผลประโยชน์เข้าตนเองได้เลยทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเนื่องจากจะทำให้ตกอยู่ภายใต้การขมขื่น (ทั้งของตนเองที่คาดหวังการเงิน และผู้อื่นที่สะดุด) และการผูกมัดของความอธรรม … อย่ายอมให้เงินมาทำให้ต้องทำผิดกับพระเจ้าและข้องเกี่ยวกับความอธรรม ความชั่วร้ายเลย ไม่ว่าทางใดก็ตาม เพื่อปกป้องตนเองไม่ให้พลาดพลั้งไปในการอธรรมนั้น (ข้อ 20-23)

 

imagesfff

 

280914

 

 

กจ.7:1-60 {แบบอย่างชีวิตของสเทเฟน}

 

7:1 มหาปุโรหิตจึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”
7:2 ฝ่ายสเทเฟนจึงตอบว่า “ท่านทั้งหลาย พี่น้องและบรรดาท่านผู้อาวุโส ขอฟังเถิด พระเจ้าแห่งสง่าราศีได้ปรากฏแก่อับราฮัมบิดาของเรา เมื่อท่านยังอยู่ในประเทศเมโสโปเตเมียก่อนที่ไปอาศัยอยู่ในเมืองฮาราน
7:3 และได้ตรัสกับท่านว่า ‘เจ้าจงออกไปจากประเทศของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้เจ้าเห็น’
7:4 อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดียไปอาศัยอยู่ที่เมืองฮาราน หลังจากที่บิดาของท่านสิ้นชีพแล้ว พระองค์ทรงให้ท่านออกจากที่นั่น มาอยู่ในแผ่นดินนี้ที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ทุกวันนี้
7:5 แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้แม้เท่าฝ่าเท้าก็ไม่ได้ และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าจะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่านที่มาภายหลังท่าน
7:6 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เชื้อสายของท่านจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และชาวประเทศนั้นจะเอาเขาเป็นทาส และจะข่มเหงเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี
7:7 พระเจ้าตรัสว่า ‘และเราจะพิพากษาประเทศที่เขาจะเป็นทาสนั้น ภายหลังเขาจะออกมาและปรนนิบัติเรา ณ สถานที่นี้’
7:8 พระองค์ได้ทรงตั้งพันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัตไว้กับอับราฮัม เหตุฉะนั้นเมื่ออับราฮัมให้กำเนิดบุตรชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัตในวันที่แปด อิสอัคให้กำเนิดบุตรชื่อยาโคบ และยาโคบให้กำเนิดบุตรสิบสองคน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
7:9 ฝ่ายบรรพบุรุษเหล่านั้นคิดอิจฉาโยเซฟจึงขายเขาไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ
7:10 ทรงโปรดช่วยโยเซฟให้พ้นจากความทุกข์ลำบากทั้งสิ้น และทรงให้ท่านเป็นที่โปรดปรานและมีสติปัญญาในสายพระเนตรของฟาโรห์ กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ ท่านจึงตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ปกครองประเทศอียิปต์กับทั้งพระราชสำนักของท่าน
7:11 แล้วบังเกิดการกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอัน และมีความลำบากมาก บรรพบุรุษของเราจึงไม่มีอาหาร
7:12 ฝ่ายยาโคบเมื่อได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ จึงใช้บรรพบุรุษของเราไปเป็นครั้งแรก
7:13 พอคราวที่สองโยเซฟก็สำแดงตัวให้พี่น้องรู้จัก และให้ฟาโรห์รู้จักวงศ์ญาติของตนด้วย
7:14 ฝ่ายโยเซฟจึงได้เชิญยาโคบบิดากับบรรดาญาติของตนเจ็ดสิบห้าคนให้มาหา
7:15 ยาโคบได้ลงไปยังประเทศอียิปต์ แล้วท่านกับพวกบรรพบุรุษของเราได้สิ้นชีพ
7:16 เขาจึงได้นำศพไปฝังไว้ในเมืองเชเคมในอุโมงค์ที่อับราฮัมเอาเงินจำนวนหนึ่งซื้อจากบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคม
7:17 เมื่อใกล้เวลาตามพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับอับราฮัม ชนชาติอิสราเอลได้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์
7:18 จนกระทั่งกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟได้ขึ้นเสวยราชย์
7:19 กษัตริย์องค์นั้นได้ทรงออกอุบายทำกับญาติของเรา ข่มเหงบรรพบุรุษของเรา บังคับให้ทิ้งลูกอ่อนของเขาเสียไม่ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้
7:20 คราวนั้นโมเสสเกิดมามีรูปร่างงดงาม เขาจึงได้เลี้ยงไว้ในบ้านบิดาจนครบสามเดือน
7:21 และเมื่อลูกอ่อนนั้นถูกทิ้งไว้นอกบ้านแล้ว ราชธิดาของฟาโรห์จึงรับมาเลี้ยงไว้ต่างบุตรชายของตน
7:22 ฝ่ายโมเสสจึงได้เรียนรู้ในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ มีความเฉียบแหลมมากในการพูดและกิจการต่าง ๆ
7:23 แต่ครั้นโมเสสมีอายุได้สี่สิบปีเต็มแล้ว ก็นึกอยากจะไปเยี่ยมญาติพี่น้องของตน คือชนชาติอิสราเอล
7:24 เมื่อท่านได้เห็นคนหนึ่งถูกข่มเหงจึงเข้าไปช่วย โดยฆ่าชาวอียิปต์ซึ่งเป็นผู้กดขี่นั้นเป็นการแก้แค้น
7:25 ด้วยคาดว่าญาติพี่น้องคงเข้าใจว่า พระเจ้าจะทรงช่วยเขาให้รอดด้วยมือของตน แต่เขาหาเข้าใจดังนั้นไม่
7:26 วันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้ามาพบเขาขณะวิวาทกัน ก็อยากจะให้เขากลับดีกันอีก จึงกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นพี่น้องกัน ไฉนจึงทำร้ายกันเล่า’
7:27 ฝ่ายคนที่ข่มเหงเพื่อนนั้นจึงผลักโมเสสออกไปและกล่าวว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาพวกเรา
7:28 เจ้าจะฆ่าเราเสียเหมือนฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ’
7:29 เมื่อโมเสสได้ยินคำนั้นจึงหนีไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินมีเดียน และให้กำเนิดบุตรชายสองคนที่นั่น
7:30 ครั้นล่วงไปได้สี่สิบปีแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟที่พุ่มไม้ ในถิ่นทุรกันดารแห่งภูเขาซีนาย
7:31 เมื่อโมเสสเห็นก็ประหลาดใจด้วยเรื่องนิมิตนั้น ครั้นเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็มีพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขา
7:32 ว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ โมเสสจึงกลัวจนตัวสั่นไม่อาจมองดู
7:33 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า ‘จงถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์
7:34 ดูเถิด เราได้เห็นความทุกข์ของชนชาติของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของเขา และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปยังประเทศอียิปต์’
7:35 โมเสสผู้นี้ซึ่งถูกเขาปฏิเสธโดยกล่าวว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาพวกเรา’ โดยมือของทูตสวรรค์ซึ่งได้ปรากฏแก่ท่านที่พุ่มไม้ พระเจ้าทรงใช้โมเสสคนนี้แหละให้เป็นทั้งผู้ครอบครองและผู้ช่วยให้พ้น
7:36 คนนี้แหละ เป็นผู้นำเขาทั้งหลายออกมา โดยที่ได้ทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญต่าง ๆ ในแผ่นดินอียิปต์ ที่ทะเลแดงและในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี
7:37 โมเสสคนนี้แหละได้กล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดา พยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังผู้นั้น’
7:38 โมเสสนี้แหละได้อยู่กับพลไพร่ในถิ่นทุรกันดารกับทูตสวรรค์ซึ่งได้ตรัสแก่ ท่านที่ภูเขาซีนาย และอยู่กับบรรพบุรุษของเรา ที่ได้รับพระดำรัสอันทรงชีวิตมาให้เราทั้งหลาย
7:39 บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสผู้นี้ แต่ได้ผลักไสท่านให้ไปจากเขา ด้วยมีใจปรารถนาจะกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์
7:40 จึงกล่าวแก่อาโรนว่า ‘ขอสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ’
7:41 ในคราวนั้นเขาทั้งหลายได้ทำรูปโคหนุ่ม และได้นำเครื่องสัตวบูชามาถวายแก่รูปนั้น และมีใจยินดีในสิ่งซึ่งมือของตนเองได้ทำขึ้น
7:42 แต่พระเจ้าทรงหันพระพักตร์ไปเสียและปล่อยให้เขานมัสการหมู่ดาวในท้องฟ้า ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แห่งศาสดาพยากรณ์ว่า ‘โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าสัตว์บูชาเราและถวายเครื่องบูชาให้แก่เราในถิ่นทุรกันดารถึงสี่ สิบปีหรือ
7:43 แล้วเจ้าทั้งหลายได้หามพลับพลาของพระโมเลค และได้เอาดาวพระเรฟาน รูปพระที่เจ้าได้กระทำขึ้นเพื่อกราบนมัสการรูปนั้นต่างหาก เราจึงจะกวาดเจ้าทั้งหลายให้ไปอยู่พ้นเมืองบาบิโลนอีก’
7:44 บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีพลับพลาแห่งสักขีพยาน ตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้เมื่อตรัสกับโมเสสว่าให้ทำพลับพลาตามแบบที่ได้เห็น
7:45 ฝ่ายบรรพบุรุษของเราที่มาภายหลัง เมื่อได้รับพลับพลานั้นจึงขนตามเยซูไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา พลับพลานั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยดาวิด
7:46 ดาวิดนั้นมีความชอบจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และมีใจปรารถนาที่จะหาพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ
7:47 แต่ซาโลมอนเป็นผู้ได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระองค์
7:48 ถึงกระนั้นก็ดี องค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระวิหารซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้ว่า
7:49 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน
7:50 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น มิใช่หรือ’
7:51 ท่านคนชาติดื้อรั้น ที่ใจและหูไม่เข้าสุหนัต ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย
7:52 มีใครบ้างในพวกศาสดาพยากรณ์ซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าบรรดาคนที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาขององค์ผู้ชอบธรรม ซึ่งท่านทั้งหลายเป็นผู้ทรยศและผู้ฆาตกรรมพระองค์นั้นเสีย
7:53 คือท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับพระราชบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่หาได้รักษาพระราชบัญญัตินั้นไม่”
7:54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน
7:55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นสง่าราศีของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
7:56 แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”
7:57 แต่เขาทั้งปวงร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปยังสเทเฟน
7:58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟนได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชาย หนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล
7:59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟนเมื่อกำลังอ้อนวอนพระเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”
7:60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป

 

(ข้อ 1-50) สเทเฟนกล่าวลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ว่า พระองค์ทรงตั้งต้นและดำเนินสิ่งต่างๆ อย่างไร  จากเริ่มแรกจวบจนปัจจุบัน เป็นการกล่าวเกริ่นนำ เพื่อประกาศถึงพระนามพระเยซูคริสต์ ว่า … พระเจ้าทรงมีแผนการณ์อย่างไรในแต่ละบุคคลในอดีต ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกเขาเอง เป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่พวกเขาต่างเชื่อเหมือนกัน ความเชื่อเดียวกัน

การประกาศเช่นนี้เป็นการบ่งบอกว่า ทั้งสเทเฟน และบรรดาสมาชิกสภาที่จับกุมสเทเฟนมา ต่างก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน นามเดียวกัน เป็นการเรียกร้องให้กลับมาเป็นหนี่งเดียวกัน ในขณะที่พวกเขากำลังยุยงและทำให้เกิดความแตกแยก … แท้จริงแล้ว ไม่มีเหตุใดเลย ที่จะเป็นเหตุทำให้ผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกันต้องแตกแยกกัน
การที่สเทเฟนสามารถกล่าวอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ กระชับตรงตามเนื้อหาหลัก แสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถของสเทเฟนว่ามีพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี

 

(ข้อ 51-53) สเทเฟนกล่าวโทษบรรดาสมาชิกสภา ว่า … เป็นคนหัวแข็งดื้อดึง กี่รุ่นต่อกี่รุ่น สิ่งที่ผิดพลาดในอดีตไม่ได้เป็นบทเรียนให้พวกเขาเลย แต่พวกเขากลับเดินตามความผิดพลาดเดิมๆ ของบรรพบุรุษ ต่อต้านการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มายุคแล้วยุคเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า จวบจนกระทั่งถึงขนาดฆ่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อหยุดยั้งการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท้ายที่สุดพระเยซูก็เป็นคนล่าสุดที่พวกเขาฆ่าที่กางเขน

สเทเฟนต่อว่าพวกสมาชิกสภา …ว่า… รู้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า รู้ทั้งแหล่งที่มา รู้ทั้งตัวอักษร แต่ก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามเลย เป็นการตัดพ้อต่อว่าอย่างตรงไปตรงมา หวังให้ตาสว่าง แต่กลับยิ่งบรรดาลโทสะ ความเดือดดาลยิ่งๆ ขึ้น การเข่นฆ่าผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าใช้มา ไม่ได้หยุดลงตรงนั้น … เมื่อสเทเฟนกล่าวชัดเจนเช่นนั้น แทนที่จะเป็นการกล่าวโทษที่ทำให้พวกเขาตาสว่างจากเนื้อแท้ของบาป  กลับทำให้พวกเขาเร่งกันฆ่า สเทเฟนทิ้งเสียอีกคนหนึ่ง (ข้อ 54)

 

(ข้อ 55-56 , 59-60) สเทเฟน ไม่ได้เพ่งความสนใจของตนเองไปที่สภาพรอบด้าน… การยั่วยุ การเดือดดาล การมุ่งร้าย… แต่เขากลับเพ่งมองเบื้องบน และเขาได้รับการสำแดงพระสิริ แห่งสวรรค์ต่อหน้าต่อตา

 

(ข้อ 57-58) สุดท้ายสเทเฟน ก็ถูกขว้างด้วยหินจนตาย  การตายของเขาเป็นการตายในการประกาศพระนามของพระเจ้าอย่างแท้จริง ปราศจากความผิดบาปทั้งสิ้น

 

แบบอย่างชีวิตของสเทเฟน

 

1.    เมื่อใครสักคนยืนหยัดในการเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฏให้เห็นแล้ว *** ควรระลึกเสมอว่า เราต่างรับใช้พระเจ้าองค์เดียวกัน เราต่างร่วมกันทำแผนการณ์ของพระเจ้าในแต่ละส่วนให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ***  เป็นการดีเสียยิ่งกว่าใดๆ อย่าคิดว่าผู้ที่ไม่ได้ทำเหมือนตน ไม่ได้อยู่ร่วมทีมกับตน คิดต่างจากตน ทำต่างจากตน หรืออย่าคิดเพียงว่าตนเท่านั้นที่ถูก เพราะเราต่างรักพระเจ้า และกำลังยืนหยัดเดินติดตามพระเจ้าของตนอย่างสุดใจ สุดความสามารถ ไม่มีใครต่อสู้ใคร แต่ต่างเสริมสร้างกันจนครบบริบูรณ์ต่างหาก ในเมื่อพระเจ้าที่เราเชื่อ …คือ… พระเจ้าองค์เดียวกัน

 

2.    สเทเฟนมีใจกล้าหาญในการเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขารู้ทั้งรู้ว่า… หากยืนหยัดอย่างแข็งขัน ในสภาพที่ตกอยู่ในวงล้อมของสมาชิกสภาผู้มีอำนาจการเมืองอยู่ในมือ เขาอาจตายได้ แต่เขาไม่กลัวความตาย กลับใช้โอกาสนี้ในการประกาศพระนามพระเจ้าอย่างกล้าหาญชัดเจนแจ่มแจ้งเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นมีเซาโลผู้ซึ่งอนาคตจะต้องเป็นหนึ่งในอัครทูตรวมอยู่ด้วย

 

3.    สิ่งที่สเทเฟนตั้งใจตอบสนองพระเจ้าอย่างดีกลับเป็นแบบอย่างในอนาคตให้กับเปาโลได้… ในขณะที่เราตั้งใจเดินติดตามพระเจ้าของเราอย่างดี เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีผลต่อใคร ในเวลาใดบ้าง … แต่มันอาจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งแรงบันดาลใจให้ใครสักคน โดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ แต่มีผลต่อแผ่นดินและแผนการณ์พระเจ้า

 

4.    การเพ่งสายตาของเราไปที่เบื้องบน ทำให้ไม่หวั่นไหวต่อสภาพรอบด้าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีแรงต้านและแรงกดดันเพียงใดก็ตาม … แต่ตรงกันข้าม … ท่ามกลางสภาวะแบบนั้นพระเจ้าจะสำแดงแผ่นดินอันแสนสงบสุข ให้เราได้พักสงบและมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้า แน่นนอนท่ามกลางความว้าวุ่นตรงนั้น ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างสเทเฟน มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับ เพราะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สงบและเพ่งสายตาของตนไปที่เบื้องบน ทั้งนี้ใครก็ตามที่สามารถเพ่งสายตาของตนเองได้แบบนี้ ย่อมได้รับเช่นเดียวกับชายผู้นี้ ..สเทเฟน

 

Stephen Stoned Acts 7:57-60

 

21/09/2014 14:22