5:12 มีหมายสำคัญและการมหัศจรรย์หลายอย่างซึ่งอัครสาวกได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน (พวกสาวกอยู่พร้อมใจกันในเฉลียงของซาโลมอน
5:13 และคนอื่น ๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย แต่ประชาชนเคารพพวกเขามาก
5:14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าก่อน)
5:15 จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน
5:16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมาและทุกคนก็หาย
5:17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านก็ลุกขึ้น (คือพวกสะดูสี) มีความโกรธอย่างยิ่ง
5:18 จึงได้จับพวกอัครสาวกจำไว้ในคุกหลวง
5:19 แต่ในเวลากลางคืน ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาเปิดประตูคุก พาอัครสาวกออกไป บอกว่า
5:20 “จงไปยืนในพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตนี้ให้ประชาชนฟัง”
5:21 เมื่ออัครสาวกได้ยินอย่างนั้น พอเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปสั่งสอนในพระวิหาร ฝ่ายมหาปุโรหิตกับพรรคพวกของท่านได้เรียกประชุมสภา พร้อมกับบรรดาผู้เฒ่าทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครสาวกออกมา
5:22 แต่เมื่อเจ้าพนักงานไปถึงก็ไม่พบพวกอัครสาวกในคุก จึงกลับมารายงาน
5:23 ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่ข้างนอกหน้าประตู ครั้นเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”
5:24 ตอนนี้เมื่อมหาปุโรหิตและนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกปุโรหิตใหญ่ ได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครสาวกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
5:25 แล้วมีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า “ดูเถิด คนเหล่านั้น ซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุกกำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในพระวิหาร”
5:26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงานจึงได้ไปพาพวกอัครสาวกมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง
5:27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครสาวกมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตจึงถาม
5:28 ว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็ดูเถิด เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยโลหิตของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”
5:29 ฝ่ายเปโตรกับอัครสาวกอื่น ๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์
5:30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
5:31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ให้เป็นเจ้าชาย และองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความผิดบาปของเขา
5:32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานของพระองค์ถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้นก็เป็นพยานด้วย”
5:33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ ก็รู้สึกบาดใจ คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครสาวกเสีย
5:34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นธรรมาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครสาวกออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง
5:35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี
5:36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้ชายติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนทั้งหลายซึ่งได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายสาบสูญไป
5:37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไปเป็นอันมาก ผู้นั้นก็พินาศด้วย และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป
5:38 ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง
5:39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า”
5:40 เขาทั้งหลายจึงยอมเห็นด้วยกับกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครสาวกเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป
5:41 พวกอัครสาวกจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดีที่เห็นว่า ตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามของพระองค์นั้น
5:42 ที่ในพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทุก ๆ วันมิได้ขาด
ยืนหยัดเพื่อพระคริสต์นำการฟื้นฟู
(ข้อ 12-16) ยิ่งสาวกทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งทำงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีการอัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ เพียงเงาของเปโตรเดินผ่านก็หายโรคได้ สิ่งที่พระเจ้าทำ แล้วร่วมมือกับพระเจ้า ส่งผลให้ผู้คนต่างมาเชื่อกันมากมาย
*** การทำงานของพระเจ้า ไม่เคยไล่คนให้ออกไป มีแต่เรียกคนเข้ามา
(ข้อ 17-18) แม้ผู้ทำอัศจรรย์ คือ พระเจ้าที่เป็นคนเลือก เหล่าอัครฑูต ได้กระทำหมายสำคัญต่างๆ แต่เหล่าปุโรหิต ก็ยังรู้สึกอิจฉา เหล่าอัครฑูต และจับพวกเขาขังไว้
***ข้อคิด >> อย่าเป็นอย่าง สะดูสี ที่อิจฉา คนที่ทำการงานของพระเจ้า แทนที่จะชื่นชม ให้เกียรติ กลับกลั่นแกล้ง จับไปขังทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด ซึ่งการทำแบบนี้ …. เบื้องหลังคือการไม่ให้เกียรติพระเจ้า
(ข้อ 19-20) แต่กลุ่ม อัครฑูต ก็ยังเห็นการรับรองจากพระเจ้า คือ ฑูตสวรรค์ มาเปิดประตูคุกให้ และยังบอกให้กลับไปประกาศคำพยานเหมือนเดิม
(ข้อ 21) อัครฑูต ก็ยังทำตามที่ พระเจ้าสั่งไม่เกรงกลัวว่าจะถูกจำคุกอีก
(ข้อ 22-26) กลุ่มเจ้าหน้าที่ จะไปรับตัวอัครฑูต แต่ก็ไม่พบพวกเขาแล้ว เห็นอีกที ก็ที่ลานพระวิหาร เขาไปจับมาอีก … แม้มนุษย์จะกักขัง แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ปลดปล่อยอิสระภาพเอง
(ข้อ 27-28) กลุ่ม ปุโรหิต ไม่ได้ห่วงอะไร นอกจากหน้าตาของตัวเองเท่านั้น ทั้งๆ ที่เห็นว่าพระเจ้าทำหลายสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา (ซึ่งเป็นที่แน่แท้ว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำด้วยพระองค์เอง ใครหรือ?? จะเปดประตูคุกได้ทั้งที่มียามหนาแน่น และยามเองก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าพวกอัครทูตออกไปตั้งแต่เมื่อไร อย่างไร) แต่เพียงเพราะว่า ไม่ต้องการรับผิด ที่มีส่วนทำให้ พระเยซูถูกตรึง ทำให้ ต้องหาทางขัดขวาง อัครฑูตทุกวิถีทาง
***ข้อคิด >> หากรู้ตัวว่าทำผิด แค่กลับใจใหม่ หันหลังให้กับความผิดพลาด และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่หากไม่ยอมรับผิด กลับกลายจะเป็นผิดยิ่งกว่าเก่า ลึกเข้าไปอีก ผิดต่อยอดผิด บานปลาย
(ข้อ 29-32) เปโตร ยังคงยืนหยัด ที่จะประกาศเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และยืนยันที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์
(ข้อ 33 -39) ฟาริสี โกรธจัด ต้องการจะฆ่ากลุ่มอัครฑูตอีก (ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ยอมกลับใจ) แต่ ยังมีฟาริสีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ห้ามไว้ และเตือนด้วยว่า ถ้าสิ่งที่อัครฑูตทำมาจากพระเจ้าจริง กลุ่มปุโรหิต จะกลายเป็นผู้ต่อสู้กับพระเจ้าเอง >> แสดงให้เห็นว่า แท้จริงบรรทัดฐานในการเดินกับพระเจ้าคือพระธรรมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ใครจะยึดถือและเดินตามมากเพียงใด แม้ฟาริสีเองก็รู้เรื่องเหล่านี้เช่นกัน แถมรู้ดีเสียด้วย
(ข้อ 40) ถึงกระนั้น ฟาริสี ก็ยัง สั่งโบย อัครฑูตอีก ยังกลั่นแกล้งจนถึงที่สุด เพื่อแสดงอำนาจที่มีอยู่ในมือ ฟาริสีต้องการทำให้สาวกหลาบจำ แต่พวกเขากลับยิ่งทำให้พระนามพระเจ้าไปไกล ด้วยหมายสำคัญที่พระเจ้าทำกับสาวกที่ถูกข่มเหง … บางครั้งการข่มเหง ไม่ได้หยุดยั้งสิ่งที่พระเจ้าทำ แต่กลับยิ่งส่งเสริมให้อัศจรรย์แห่งการช่วยกู้ของพระเจ้าที่มีมาถึงคนของพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น (เทียบเหตุการณ์ โมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ต่อหน้าฟาโรห์ , โมเสส = อัครทูต , อียิปต์ = สิ่งที่พวกเขายึดติด , ฟาโรห์ = ฟาริสี สะดูสี )
(ข้อ 41) ***สุดท้าย อัครฑูต ยังคงมีความชื่นชมยินดีแม้จะถูกข่มเห่งรังแก เพราะเค้าได้ยืนหยัดที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสุดชีวิต
070914