Category Archives: บทเรียนวันสะบาโต

กจ.3:1-26 {เริ่มต้นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

3:1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าพระวิหารในเวลาอธิษฐาน เป็นเวลาบ่ายสามโมง
3:2 มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่ครรภ์มารดา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร
3:3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน
3:4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูพวกเราเถิด”
3:5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คาดว่าจะได้อะไรจากท่าน
3:6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองข้าพเจ้าไม่มี แต่ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ข้าพเจ้าจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นเดินไปเถิด”
3:7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
3:8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหารด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป
3:9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า
3:10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดแก่คน นั้น
3:11 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอน ด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
3:12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความบริสุทธิ์ของเราเอง
3:13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซูพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต เมื่อเขาตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป
3:14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยฆาตกรให้ท่านทั้งหลาย
3:15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเป็นพยานในเรื่องนี้
3:16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ได้กระทำให้คนนี้หายปกติต่อหน้าท่านทั้ง หลาย
3:17 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้กระทำการนั้นเพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย
3:18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของ พระองค์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
3:19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อเวลาชื่นใจยินดีจะได้มาจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
3:20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเมื่อก่อนนั้นได้แจ้งไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว
3:21 พระองค์นั้น สวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
3:22 ที่จริงโมเสสได้กล่าวไว้แก่บรรพบุรุษว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดาพยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน
3:23 และจะเป็นเช่นนี้คือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่ตั้งใจฟังศาสดาพยากรณ์ผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากท่ามกลางประชาชน’
3:24 และบรรดาศาสดาพยากรณ์ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันพยากรณ์ถึงกาลครั้งนี้
3:25 ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์นั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา คือได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า ‘บรรดาครอบครัวทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเชื้อสายของเจ้า’
3:26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ท่านทั้งหลายทุกคนกลับจากความชั่วช้าของตน”

 

เริ่มต้นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

1.    (1-10) หมายสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำผ่านเปโตรและยอห์น
– ขอทานต้องการแค่เงิน แต่เขากลับได้รับมากกว่านั้น คือ การหายโรค…. พระเจ้ามักให้มากกว่าในสิ่งที่มนุษย์คาดคิดเสมอ เพราะพระองค์มีแผนการณ์ที่ดีเสมอสำหรับเราแต่ละคน

– เป็นยุคพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น หมายสำคัญจึงเกิดขึ้นอย่างมาก = มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องมีหมายสำคัญ หมายสำคัญจะไม่ขาดหายไปจากผู้ที่ดำเนินชีวิตไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะหมายสำคัญเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ

 

2.    (11-13) เปโตรมอบเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า
– เปโตรมอบเกียรตินี้ให้กับพระเจ้า ไม่อวดอ้างว่าเป็นความสามารถของตนเองเลย แม้คนจะยกย่องเปโตรก็ตาม เขามอบเกียรติให้กับพระเจ้าโดยไม่อ้างถึงความดีและความสามารถใดๆ ของตนเองเลย

– เปโตรพลิกลักษณะนิสัยของเขาโดยสิ้นเชิงจากเดิม ที่เป็นคนขี้อวด ขี้โม้ ชอบได้หน้า.. แต่บัดนี้เมื่อเขาผ่านเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ได้เห็นการฟื้นพระชนม์ ได้รับคำสั่งเจาะจง การให้อภัยของพระเยซู และที่สำคัญคือ ได้รับการสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาได้ถ่อมลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่เขาจะอวด โม้ อีกต่อไป เขามอบทั้งสิ้นแด่พระเจ้า พระเยซู โดยสิ้นเชิง

** ข้อควรระวัง … อย่าคิดว่าเราเป็นคนนั้นที่ทำการอัศจรรย์ ทำให้แย่งเกียรติของพระเจ้ามาไว้ที่เรา เช่น ควรระวังว่าเพราะชีวิตที่ดีของเรา ทำให้หมายสำคัญเกิดขึ้น

–  แท้จริงการรักษาชีวิตเป็นเงื่อนไขหนึ่ง ของการที่พระเจ้าจะทำงานผ่านเราได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่เพราะชีวิตที่ดีของเรา  สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น เป็นเส้นบางๆ ที่ต้องระวังรักษาตนเองไม่ให้พลาดในการมอบถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น

 

3.    (14-25) การกล่าวคำพยานของเปโตร
–  กลุ่มคนเหล่านั้น คือ คนที่ร่วมตรึงพระเยซูทั้งนั้น แต่เปโตรก็ยังประกาศแก่เขาอยู่ดี เพื่อนำพวกเขากลับมาหาพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้ามีแผนการณ์ที่ดีถึงทุกคน

–  เปโตรและคณะก็ต้องยอมวางความรู้สึกของตนเองลง และเลือกทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้มุ่งมั่นที่จะเป็นพยานให้เขากลับมาหาพระเจ้า

 

4.    (22-26) การอ้างอิงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
– เป็นการอ้างอิงถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (OT) ที่สำเร็จถึงสิ่งที่พระเยซูทำ = เป็นบทสรุปและสนับสนุนว่า ทุกสิ่งในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ (NT) เป็นการสนับสนุนเรื่องราวใน OT ให้สำเร็จสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น ไม่สามารถตัด OT ทิ้งจากชีวิตเราได้ เพราะสาวกก็ดำเนินชีวิตแบบศึกษาและเดินตาม OT ตลอดเวลา

 

imageswwwwww

 

10/08/2014 11:48

 

 

กจ.2:43-47 {ชีวิตในกลุ่มผู้เชื่อ หรือ แบบแผนคริสตจักรในยุคแรก}

 

2:43 เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครสาวกทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญหลายประการ
2:44 บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง
2:45 เขาจึงได้ขายทรัพย์สมบัติและสิ่งของมาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ
2:46 เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขาร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยจริงใจ ทุกวันเรื่อยไป
2:47 ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้ที่กำลังจะรอด เข้าสมทบกับคริสตจักรทวีขึ้นทุก ๆ วัน

 

เป็นรูปแบบของคริสตจักรยุคแรก
เนื่องจากพระเยซูตรัสสั่งเปโตรไว้ให้สร้างคริสตจักร  (เป็นการทรงเรียกและภาระกิจของเปโตร = คริสตจักรเกิดขึ้นครั้งแรก)

 

มธ.16:18  และเราบอกท่านด้วยว่า ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และประตูแห่งนรกจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นก็หามิได้

 

ชีวิตในกลุ่มผู้เชื่อ หรือ แบบแผนคริสตจักรในยุคแรก

 

1. (43-45) มีการร่วมกันตามธรรมศาลา ทำหมายสำคัญ สอน และนำของตนเองมาถวาย เพื่อให้กับคนยากจน ที่ไม่มีอาชีพการงาน เป็นการแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

 

2. (46) พบปะกันตามบ้าน นอกเหนือกิจกรรมในธรรมศาลา เพื่อกินอาหารด้วยกัน ฉลองกัน แบ่งปันเรื่องราวของพระเจ้า หนุนใจกัน สรรเสริญพระเจ้า ขอบพระคุณพระเจ้า
*** ไม่มีโครงสร้าง ไม่มีรูปแบบ แต่เป็นการทำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงและเคลื่อน (คำอธิบายฉบับอรรถาธิบาย NIV)

*** เป็นการทำสิ่งต่างๆ อย่างเรียบง่าย เน้นช่วยเหลือกันและกัน ทั้งคนจน และแบ่งปันสิ่งที่มีให้แก่กันและกัน ทั้งอาหาร ประสบการณ์ พระวจนะ

 

fellowship

03/08/2014 11:57

 

 

กจ.2:1-42 {การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

2:1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกสาวกจึงมาร่วมใจกันอยู่ในที่แห่งเดียวกัน
2:2 ในทันใดนั้น มีเสียงดังมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วบ้านที่เขานั่งอยู่นั้น
2:3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขา และกระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน
2:4 เขาเหล่านั้นก็เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงตั้งต้นพูดภาษาต่าง ๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด
2:5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้า ซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้ามาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม
2:6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้น เขาจึงพากันมาและสับสนเพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตนเอง
2:7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ดูเถิด คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ
2:8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา
2:9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย
2:10 ในแคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลียและประเทศอียิปต์ ในแคว้นเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน และคนมาจากกรุงโรม ทั้งพวกยิวกับคนเข้าจารีตยิว
2:11 ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้าตามภาษาของเราเอง”
2:12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน”
2:13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่”
2:14 ฝ่ายเปโตรได้ยืนขึ้นกับอัครสาวกสิบเอ็ดคน และได้กล่าวแก่คนทั้งปวงด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยูเดียและบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้ และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด
2:15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า
2:16 แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำซึ่งโยเอลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้ว่า
2:17 ‘พระเจ้าตรัสว่า ต่อมาในวันสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเรามาเหนือเนื้อหนังทั้งปวง บุตรชายบุตรสาวของท่านจะพยากรณ์ คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น
2:18 ในคราวนั้นเราจะเทพระวิญญาณของเราบนทาสชายและหญิงของเรา และคนเหล่านั้นจะพยากรณ์
2:19 เราจะสำแดงการมหัศจรรย์ในอากาศเบื้องบนและหมายสำคัญที่แผ่นดินเบื้องล่างเป็นเลือด ไฟและไอควัน
2:20 ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด ก่อนถึงวันใหญ่นั้น คือวันใหญ่ยิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2:21 และจะเป็นเช่นนี้คือผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด’
2:22 ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล ขอฟังคำเหล่านี้เถิด คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบโดยการอัศจรรย์ การมหัศจรรย์และหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำโดยพระองค์นั้น ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ดังที่ท่านทราบอยู่แล้ว
2:23 พระองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านทั้งหลายได้จับ และโดยมืออันชั่วร้ายได้ตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย
2:24 พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้พระองค์คืนพระชนม์ ด้วยทรงกำจัดความเจ็บปวดแห่งความตายเสีย เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้
2:25 เพราะดาวิดได้ทรงกล่าวถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะว่าพระองค์ประทับที่มือขวาของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะมิได้หวั่นไหว
2:26 เพราะฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี และลิ้นของข้าพเจ้าจึงเปรมปรีดิ์ ยิ่งกว่านี้เนื้อหนังของข้าพเจ้าจะพักพิงอยู่ในความหวังใจด้วย
2:27 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในนรก ทั้งจะไม่ทรงให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
2:28 พระองค์ได้ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทราบทางแห่งชีวิตแล้ว พระองค์จะทรงโปรดให้ข้าพระองค์มีความยินดีเต็มเปี่ยมด้วยสีพระพักตร์อันชอบ พระทัยของพระองค์’
2:29 ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าที่จะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านสิ้นพระชนม์แล้วถูกฝังไว้ และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้
2:30 ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์และทราบว่าพระเจ้าตรัสสัญญาไว้แก่ท่านด้วยพระปฏิญาณว่า พระองค์จะทรงประทานผู้หนึ่งจากบั้นเอวของท่าน และตามเนื้อหนังนั้น พระองค์จะทรงยกพระคริสต์ให้ประทับบนพระที่นั่งของท่าน
2:31 ดาวิดก็ทรงล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า จิตวิญญาณของพระองค์ไม่ต้องละไว้ในนรก ทั้งพระมังสะของพระองค์ก็ไม่เปื่อยเน่าไป
2:32 พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้
2:33 เหตุฉะนั้นเมื่อพระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ขึ้น และครั้นพระองค์ได้ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญา พระองค์ได้ทรงเทฤทธิ์เดชนี้ลงมา ซึ่งตอนนี้ท่านทั้งหลายได้ยินและเห็นแล้ว
2:34 เหตุว่าท่านดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์ แต่ท่านได้กล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา
2:35 จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
2:36 เหตุฉะนั้นให้วงศ์วานอิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน ทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์”
2:37 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวแก่เปโตรและอัครสาวกอื่น ๆ ว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรดี”
2:38 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพราะว่าทรงยกความผิดบาปให้แล้ว และท่านจะได้รับของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
2:39 ด้วยว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และแก่คนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์”
2:40 เปโตรจึงกล่าวอีกหลายคำเป็นพยานและได้เตือนสติเขาว่า “จงเอาตัวรอดจากยุคที่คดโกงนี้เถิด”
2:41 คนทั้งหลายที่รับคำของเปโตรด้วยความยินดีก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกเพิ่มอีกประมาณสามพันคน
2:42 เขาทั้งหลายได้ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสอนของจำพวกอัครสาวก และในการสามัคคีธรรม และในการหักขนมปัง และในการอธิษฐาน

 

การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

1. การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานที่ชัดเจนที่สุดถึงสิ่งที่พระเยซูตรัส และเป็นการทำให้คำพูด คำเผย คำพยากรณ์ของคนรุ่นเก่าๆ ที่ได้รับการสำแดงนั้นเกิดขึ้นจริง เป็นจริง (16-21) คำพยากรณ์ของโยเอล
(25-28 , 34-35) ถ้อยคำของดาวิด

 

2. (8-11) การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหมายสำคัญของการเปลี่ยนยุค คือ จากเดิมยิวเท่านั้น เป็นยุคที่เคลื่อนไปถึงคนต่างชาติ
เนื่องจากมีคนมาจากหลากหลายที่ หลายแคว้น แต่สามารถฟังภาษาแปลกๆ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สวมทับพวกสาวกบนห้องชั้นบนออก ว่า พวกเขาพูดภาษาพื้นเมืองของคนเหล่านั้น (ทั้งที่สาวกพูดภาษาแปลกๆ) ทำให้มีคนเชื่อมากมาย ถึง 3,000 คน (ข้อ 41) ซึ่งในเวลานั้นเป็นเวลาที่ยังอยู่ในช่วงเทศกาลเพ็นเทคอสต์ (เทศกาลหลังวันเริ่มเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 50 วัน) ซึ่งคนยิวเกือบทั้งหมดที่มีส่วนในการตรึงพระเยซู ดังนั้นจำนวน 3,000 คนนี้ไม่น่าจะเป็นยิวล้วนๆ
3. ประเภทของคนที่เห็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

3.1 (12) คนที่เห็นแล้วเชื่อ เนื่องจากฉงนในหมายสำคัญที่พระเจ้าทำ

3.2 (13) คนที่เห็นแล้วเย้ยหยัน คิดว่าพวกสาวก หรือคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สวมทับเมาแต่หัววัน
# เนื่องจากคนยังไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก หรือมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาก่อน อีกทั้งเพิ่งผ่านเหตุการณ์ตรึงพระเยซูที่พวกเขามีส่วนมาหมาดๆ

 

4. เมื่อผู้คนเห็นการอัศจรรย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำ พวกเขาปรารถนาจะเดินตาม ด้วยการกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามพระเยซู (เป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมารับบัพติศมาของยอห์น) เป็นผลที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำและเป็นที่พอพระทัยของพระบิดา

4.1 (41) ทำให้เกิดผู้เชื่อมากมายถึง 3,000 คนที่กลับใจใหม่
4.2 (42) พวกเขาอุทิศตน ในการร่วมด้วยกับคริสตจักรยุคแรก

 

holyspirit2

03/08/2014 11:55

 

 

กจ.1:12-26 {เลือกสาวกแทนยูดาส}

1:12 แล้วอัครสาวกจึงลงจากภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มระยะทางเท่ากับระยะที่อนุญาตให้คนเดินในวันสะบา โต กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม
1:13 เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งมีทั้งเปโตร ยากอบ ยอห์นกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ซีโมนเศโลเท กับยูดาสน้องชายของยากอบ พักอยู่นั้น
1:14 พวกเขาร่วมใจกันอธิษฐานอ้อนวอนต่อเนื่องพร้อมกับพวกผู้หญิง และมารีย์มารดาของพระเยซูและพวกน้องชายของพระองค์ด้วย
1:15 คราวนั้นเปโตรจึงได้ยืนขึ้นท่ามกลางเหล่าสาวก (ที่ประชุมกันอยู่นั้นมีรวมทั้งสิ้นประมาณร้อยยี่สิบชื่อ) และกล่าวว่า
1:16 “ท่านพี่น้องทั้งหลาย จำเป็นจะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสไว้โดยโอษฐ์ของดาวิด ด้วยเรื่องยูดาส ซึ่งเป็นผู้นำทางคนที่ไปจับพระเยซู
1:17 เพราะยูดาสนั้นได้นับเข้าในพวกเรา และได้รับส่วนในภารกิจนี้
1:18 ฝ่ายผู้นี้ได้เอาบำเหน็จแห่งการชั่วช้าของตนไปซื้อที่ดิน แล้วก็ล้มคะมำลงแตกกลางตัวไส้พุงทะลักออกมาหมด
1:19 เหตุการณ์นี้คนทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้ เขาจึงเรียกที่ดินแปลงนั้นตามภาษาของเขาว่า อาเคลดามา คือทุ่งโลหิต
1:20 ด้วยมีคำเขียนไว้ในหนังสือสดุดีว่า ‘ขอให้ที่อาศัยของเขารกร้างและอย่าให้ผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น’ และ ‘ขอให้อีกผู้หนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา’
1:21 เหตุฉะนั้นในบรรดาชายเหล่านี้ที่เป็นพวกเดียวกับเราเสมอตลอดเวลาที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้าออกกับเรา
1:22 คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องตั้งไว้ให้เป็นพยานกับเราถึงการคืนพระชนม์ของพระองค์”
1:23 เขาทั้งหลายจึงเสนอชื่อคนสองคน คือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบาส มีนามสกุลว่ายุสทัส และมัทธีอัส
1:24 แล้วพวกสาวกจึงอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทั้งปวง ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน
1:25 ให้รับส่วนในการปรนนิบัตินี้ และรับตำแหน่งเป็นอัครสาวกแทนยูดาส ซึ่งโดยการละเมิดนั้นได้หลงจากหน้าที่ไปยังที่ของตน”
1:26 เขาทั้งหลายจึงจับฉลากกัน และฉลากนั้นได้แก่มัทธีอัสจึงนับเขาเข้ากับอัครสาวกสิบเอ็ดคนนั้น

 

การเลือกสาวกแทนยูดาส

 

1. (12) การกำหนดระยะทางเดินในวันสะปาโตไม่เกิน 1,000 เมตร แท้จริงเป็นการกำหนดจากรับบีและกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งพระคัมภีร์เดิมไม่ได้กำหนดไว้เลย ไม่มีคำตรัสสั่งเรื่องระยะทาง
(อพย.16:29 , กดว.35:5 , ยชว.3:4) บอกเพียงแต่ว่าให้สะปาโตเป็นวันพักสงบ ห้ามออกไปหากิน ทำงาน

 

อพย.16:29 “ดูซิ ด้วยว่าพระเยโฮวาห์ทรงกำหนดวันสะบาโตให้พวกท่าน เพราะฉะนั้นในวันที่หก พระองค์ได้ทรงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน จงให้ทุกคนอาศัยอยู่ในที่พักของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักของตนในวันที่เจ็ดนั้นเลย”

 

กดว.35:5 และเจ้าจงวัดภายนอกเมืองสองพันศอกเป็นด้านตะวันออก สองพันศอกเป็นด้านใต้ สองพันศอกเป็นด้านตะวันตก สองพันศอกเป็นด้านเหนือ ให้ตัวเมืองอยู่กลาง นี่เป็นทุ่งหญ้าประจำเมืองเหล่านั้น

 

ยชว.3:4 ทิ้งระยะของท่านไว้ให้ห่างจากหีบประมาณสองพันศอก อย่าเข้าไปใกล้หีบนั้น เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้จักทางที่จะไป เพราะท่านยังไม่เคยผ่านทางนี้มาก่อน”

 

2. (14) พวกเขาเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน หลังจากอธิษฐานแล้วจึงคิดเรื่องการเลือกคนแทนยูดาส แสดงว่าไม่ใช่ว่าจู่ๆ เขาก็อยากตั้งคนแทนที่ส่วนที่ขาดหายไป แต่เพราะว่าได้รับบางสิ่งจากพระเจ้าจริงๆ พวกเขาจึงเดินตาม และมีข้อพระคัมภีร์สนับสนุนให้แก่พวกเขาในขณะนั้นด้วย

สดด.69:25 ขอให้ที่อาศัยของเขารกร้างและอย่าให้ผู้ใดอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเขา

 

สดด.109:8 ขอให้วันเวลาของเขาน้อย ขอให้อีกผู้หนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา

พวกเขาจึงเริ่มต้นหาคนแทน แสดงว่าเขาเดินตามเสียงพระเจ้าและพระคัมภีร์ เป็นเหตุให้มีการเลือกสาวกคนที่ 12 แทนที่ยูดาส ณ เวลานั้นโดยการจับฉลาก ซึ่งการจับฉลากเป็นธรรมเนียมของยิวในสมัยนั้น โดยจะทำการอธิษฐานมอบสิทธิ์ให้กับพระเจ้าเป็นผู้เลือกสลากนั้น(26) 
สภษ.16:33 ฉลากนั้นเขาทอดลงที่ตัก แต่การตัดสินมาจากพระเยโฮวาห์ทั้งสิ้น

 

1พศด.26:13 และเขาจับฉลากกันตามเรือนบรรพบุรุษของเขา ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยเหมือนกัน สำหรับใครอยู่ประตูไหน

 

3. (21-23) การเลือกรายชื่อ ย่อมต้องเลือกมาจากคนที่เดินติดตามพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง มีคุณลักษณะชีวิตที่ดีจนสาวกและผู้อื่นเห็นได้

 

imagesvds

 

27/07/2014 11:58

 

 

กจ.1:1-11 {คำกำชับสุดท้ายของพระเยซู}

1:1 โอ ท่านเธโอฟีลัส ในหนังสือเรื่องแรกนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วถึงบรรดาการซึ่งพระเยซูได้ทรงตั้งต้นกระทำและสั่งสอน
1:2 จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไป ในเมื่อได้ตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่อัครสาวก ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้แล้วนั้น
1:3 ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้น ด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์อย่างแน่นอนที่สุดว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน และได้ทรงกล่าวถึงเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
1:4 เมื่อพระองค์ได้ทรงชุมนุมกันกับอัครสาวก จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ
1:5 เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ไม่ช้าไม่นานท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
1:6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้หรือ”
1:7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์
1:8 แต่ ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราทั้งในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
1:9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว ในขณะที่เขาทั้งหลายกำลังพินิจดู พระองค์ก็ถูกรับขึ้นไป และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา
1:10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา
1:11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงยืนเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์ นั้น”

 

คำกำชับของพระเยซู

 

1. (ข้อ 6) พวกสาวกยังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พระเยซูตรัส จึงยังคงไม่เข้าใจประเด็นหลัก หรือจุดหลักที่พระเยซูมุ่งเน้นและต้องการสื่อสาร ทำให้พวกเขาพยายามคิดค้นและหาคำตอบตามสิ่งที่ตนเองคิดเอาเองหรือเข้าใจไปเอง พวกเขาคิดว่าพระเยซูจะสร้างชาติอิสราเอลใหม่ด้วยการรบ ด้วยวิธีเดิมๆ แต่พระเยซูกำลังเน้นไปที่การสร้างใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ข้อคิด >> เรื่องความล้ำลึกในสิ่งที่ทรงตรัส แม้ได้ยินเราอาจยังไม่เข้าใจในทันที ไม่ตรงประเด็น แต่เมื่อถึงวาระและเวลาจะเข้าใจสิ่งที่ทรงตรัส เนื่องจากมันเกิดขึ้นจริงตามนั้น… ดั่งผู้เผยหรือผู้พยากรณ์ที่ได้รับรู้สิ่งต่างๆ จากพระเจ้าล่วงหน้า เขาย่อมเข้าใจและรู้วาระเวลาของพระเจ้า ในขณะที่คนอื่นจะไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

2. (ข้อ 7) เรื่องบางเรื่องพระเจ้าไม่ได้ประสงค์จะเปิดเผย เป็นเรื่องและเอกสิทธิ์ของพระเจ้า เราต้องรอคอยต่อไปจนถึงวาระนั้น จะทรงเปิดเผยออกมาเอง

 

3. (ข้อ 8) พระเยซูตรัสสั่งถึงเป้าหมายการทำงานร่วมกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กำลังจะเสด็จมา คือ การประกาศพระนามพระองค์ไปทั่วโลก เป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์ที่ให้มีการประกาศข่าวประเสริฐและขยายวงกว้างออกไปยังคนต่างชาติที่นอกเหนือจากยิวด้วย

 

4. (ข้อ 9) พระเยซูตรัสสั่งเพียงแค่นี้ เพื่อเป็นทิศทางและการชี้นำให้กับพวกสาวก เนื่องจากในขณะนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่เสด็จมา ยังไม่มีใครรู้จักและเข้าใจ
การที่พระเยซูสั่งไว้เพื่อให้พวกเขาเตรียมตัวและรู้ว่าต้องตอบสนองและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรบ้าง เมื่อไม่มีพระเยซูอยู่บนโลกแล้ว แต่ถึงกระนั้นพระเยซูกำชับทรงเปิดเผยได้เพียงเท่านั้น คือ
(4) อย่าไปไหน ให้อยู่รอรับการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
(5) ต่อไปนี้จะมีการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งความรู้ความเข้าใจเดิมของเขามีแค่บัพติศมาในน้ำของยอห์น
ข้อคิด >> หลายๆ เรื่องเมื่อยุคมาถึง จะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีในอดีตเลย ดังนั้นไม่แปลกที่หลายอย่างเราจึงหาคำตอบจากอดีตไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงทำสิ่งใหม่ๆ เสมอ ส่วนของเราคือ เปิดออก , ก้าวตามและเรียนรู้
(8) การประกาศพระนามพระองค์ไปยังที่ต่างๆ เป็นการเปิดไปทั่วแผ่นดินโลก ไม่จำกัดแวดวงเพียงแค่ยิวอีกต่อไป แต่ไปถึงคนต่างชาติด้วย
ข้อคิด >> นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่หักวิถีเดิมๆ โดยสิ้นเชิง จากเดิม มีเพียงยิวเท่านั้นที่ได้รับ แต่เมื่อยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์มา กลับกลายเป็นทุกคนได้รับ

 

5. (ข้อ 10-11) ทูตสวรรค์เตือนสาวกว่าให้เริ่มต้น ทำตามที่พระเยซูตรัสได้แล้ว ไม่ใช่นั่งมองอยู่ตรงนี้ ให้ตั้งตารอคอยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กำลังจะเสด็จมา เป็นเหมือนให้สัญญาณว่า ต้องเริ่มต้นทำตามที่พระเยซูตรัสกำชับได้แล้ว
อีกทั้งเป็นการเกริ่นบอกถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูว่าจะเป็นลักษณะเดียวกันกับการเสด็จขึ้นสวรรค์

 

00770478

 

27/07/2014 11:24