เตรียมชีวิตให้พรักพร้อม… และเมื่อถึงเวลาที่ทรงตรัสเรียก เมื่อถึงเวลาที่ทรงมีคำบัญชามาถึง จงลุกขึ้นเถิด…. ลุกขึ้นตามการเชื้อเชิญที่มาถึงตนโดยตรง
“ขอให้คำจากปากของข้า และการภาวนาในจิตใจ เป็นที่โปรดปรานของพระองค์…
ข้าแต่พระเจ้า…
ขอเสียงแห่งการสรรเสริญดังกู่ก้องทุกพื้นที่…
ขอให้ทุกผืนดิน เต็มไปด้วยบทเพลงคำสรรเสริญ…
ขอคำสรรเสริญปรากฏทุกซอกมุมแผ่นดินโลก…
ขอทุกครัวเรือน อาคาร มีเสียงโห่ร้องสรรเสริญนามพระองค์ เล็ดลอดตามผนัง..
ขอให้คำสรรเสริญเป็นที่โปรดปรานของพระองค์…
โอ้… แผ่นดินโลกเอ๋ย… จงสรรเสริญนามพระเจ้า
ขอพระนามบริสุทธิ์ได้รับการยกชู
ขอพระนามประเสริฐได้รับการกล่าวถึง
ขอพระเกียรติ พระสิริ ทอแสงบนแผ่นดินนี้
ขอทรงเปลี่ยนความเศร้าโศก… เป็นความชื่นบาน
ขอทรงให้ความอ่อนล้า… ถูกแทนที่ด้วยกำลังใหม่
ขอความหมดหวัง สิ้นไร้หนทาง… ถูกปลดปล่อยด้วยประตูแห่งความหวัง
ขอความแห้งแล้งหมดสิ้น… ด้วยลำธารของพระองค์
ขอความอุดมสมบูรณ์… ในทุ่งหญ้าแดนสงบของพระเจ้า
ขอความปลอดภัย… แก่ผู้ที่พักพิงในแผ่นดินของพระเจ้า
ขอความเศร้าหมอง… มลายไป ด้วยคำสรรเสริญ
ขอทรงแทรกแซงท่ามกลางความอยุติธรรม… เพื่อผดุงธรรม แด่คนชอบธรรม
ขอทรงครอบครองแผ่นดินโลก… ด้วยสันติสุขของพระคริสต์
ขอปลดปล่อยผู้คนจากโซ่ตรวน… ด้วยพลังคำสรรเสริญ
ขอทรงปรากฏชัยชนะ… แก่ทุกๆ ย่างก้าว แด่ผู้ที่ให้คำสรรเสริญนำทาง
ข้าแต่พระเจ้า…
ให้แผ่นดินเต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า
ให้ประชาชาติเฝ้า ให้เข้าเฝ้า ก้มกราบพระองค์
ด้วยว่า พระองค์ ทรงสมควร #ครองราชย์ ครองราชย์
แด่พระเจ้าผู้ทรงสมควร
สรรเสริญ โมทนาพระคุณของพระเจ้า ใน พระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”
“♥ ข้าแต่พระเจ้า…
♥ ไม่ว่าจะที่ลึกหรือที่สูง
♥ ไม่ว่าจะทางกว้างหรือทางแคบ
♥ ไม่ว่าจะที่ๆ คุ้นเคยหรือไม่รู้จัก
♥ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ
.
.
.
♣ ขอเพียงทรงอยู่ด้วยและเคียงข้าง… ***ข้าพระองค์และครัวเรือน พร้อมเสมอในการก้าวตาม***
♥ ข้าแต่พระเจ้า…
♥ ด้วยว่าทรงนำแล้ว…จะทรงรับรอง
♥ ด้วยว่าทรงสัญญาแล้ว…ทุกสิ่งจะเกิดขึ้น
♥ ด้วยว่าทรงอยู่ด้วยแล้ว…ชัยชนะจะเป็นของข้าพระองค์
♥ ด้วยว่าทรงตรัสแล้ว…ไม่ทรงบิดพลิ้ว
♥ ด้วยว่าทรงปลดปล่อยแล้ว…เสรีภาพ สิทธิอำนาจ ชัยชนะเป็นของข้าพระองค์
♥ พระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุด…
♥ ขอทรงเคียงใกล้ก็เป็นพอ…
♥ ขอทรงประทับอยู่… ทุกสิ่งเป็นไปได้
♥ ขอทรงปกคลุม… ความปลอดภัยย่อมเกิดขึ้น
♥ ขอทรงอวยพร… แม้ศัตรูก็ไม่อาจพรากไปได้
♥ ขอทรงนำ… หนทางข้างหน้าย่อมชัดเจน
♥ พระเจ้าผู้ทรงเรียกและช้อนรับ
♥ ขอทรงให้ตาได้เห็น… สิ่งทรงทำ
♥ ขอให้หูได้ยิน… เสียงทรงตรัส
♥ ขอให้ใจสัมผัส… รักอันมั่นคง แสนสงบ
♥ ขอให้มือได้ร่วม… ในแผนการณ์อันประเสริฐ
♥ ขอให้เท้าได้เดิน… ในมรรคาของพระองค์
♥ ขอให้ชีวิตได้อยู่… ในเวลาและน้ำพระทัยอันสมบูรณ์ของพระคริสต์
♥ ขอให้จิตวิญญาณนี้… เป็นของพระองค์เพียงผู้เดียว
อธิษฐาน มอบถวาย และ ทูลขอในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”
171114
10:1 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลีย
10:2 เป็นคนมีศรัทธามาก คือท่านและทั้งครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานต่อพระเจ้าเสมอ
10:3 เวลาประมาณบ่ายสามโมงนายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย”
10:4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
10:5 บัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา
10:6 เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล เปโตรจะบอกท่านว่าท่านควรจะทำอะไร”
10:7 ครั้นทูตสวรรค์ที่ได้พูดกับโครเนลิอัสไปแล้ว ท่านได้เรียกคนใช้สองคนกับทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นคนมีศรัทธามาก ที่เคยปรนนิบัติท่านเสมอ
10:8 และเมื่อโครเนลิอัสได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้คนเหล่านั้นฟังแล้ว ท่านจึงใช้เขาไปยังเมืองยัฟฟา
10:9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงวันเปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อจะอธิษฐาน
10:10 และเขาหิวมาก และอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่พวกเขายังจัดเตรียมอยู่ เปโตรได้เข้าสู่ภวังค์
10:11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
10:12 ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน คือสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและนกที่อยู่ในท้องฟ้า
10:13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด”
10:14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”
10:15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”
10:16 เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า
10:17 เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ดูเถิด คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหาและพบบ้านของซีโมนแล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้ว
10:18 และร้องถามว่า ซีโมนที่เรียกว่าเปโตรอยู่ที่นั่นหรือไม่
10:19 เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า “ดูเถิด ชายสามคนตามหาเจ้า
10:20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”
10:21 เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นซึ่งโครเนลิอัสได้ใช้มากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไร”
10:22 เขาจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในบรรดาชาวยิว โครเนลิอัสผู้นั้นได้รับคำเตือนจากพระเจ้าโดยผ่านทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ให้มาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่อจะฟังถ้อยคำของท่าน”
10:23 เปโตรจึงเชิญเขาให้เข้ามาหยุดพักอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นเปโตรก็ไปกับเขาและพวกพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย
10:24 ล่วงมาอีกวันหนึ่งเขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอยรับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว
10:25 ครั้นเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตร และหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน
10:26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”
10:27 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน
10:28 จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระราช บัญญัติห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน
10:29 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าจึงขอถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”
10:30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถืออดอาหารอยู่จนถึงเวลานี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ดูเถิด มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ
10:31 ผู้นั้นได้กล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นที่ระลึกถึงในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว
10:32 เหตุฉะนั้น จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ฝั่งทะเล ผู้นั้นเมื่อมาถึงแล้วจะกล่าวแก่ท่าน’
10:33 ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าจึงอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะฟังสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งท่านไว้”
10:34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด
10:35 แต่คนใด ๆ ในทุกชาติที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์
10:36 พระดำรัสที่พระเจ้าได้ทรงฝากไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง)
10:37 ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระดำรัสนั้นท่านทั้งหลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้นที่แคว้นกาลิลี ไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น
10:38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกพญามารเบียดเบียน ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงสถิตกับพระองค์
10:39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในแผ่นดินของชนชาติยิวและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าและแขวนไว้ที่ต้นไม้
10:40 ในวันที่สามพระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์และทรงให้ปรากฏ
10:41 มิใช่ทรงให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ทรงปรากฏแก่เหล่าพวกพยานซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แต่ก่อน คือทรงปรากฏแก่พวกเราที่ได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
10:42 พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่าพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย
10:43 ศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ผู้ใดที่เชื่อถือในพระองค์นั้นจะได้รับการทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์”
(ข้อ 1-8) โครเนลิอัสเป็นคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้าของชาวอิสราเอล ใช้ชีวิตแบบยำเกรงพระเจ้าและสัตย์ซื่อในส่วนของเขาเป็นการส่วนตัวอย่างเคร่งครัด ทำให้พระเจ้าทรงหันมาหาเขา มีการสำแดงชนิดที่ผู้เชื่อหลายๆ คน และส่วนมากยังไม่มีโอกาสได้รับเสียด้วยซ้ำ คือ การเห็นทูตสวรรค์ต่อหน้าต่อตา การที่ทูตสรรค์บอกรายละเอียดอย่างเจาะจงถึงสิ่งที่เขาต้องทำ คือ เชิญเปโตรมา และเป็นการบอกถึงพิกัดที่อยู่ของเปโตรอย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถทำตามได้ …
เปรียบเทียบภาพเดียวกับนางรูธที่รักพระเจ้าของแม่สามีและปรารถนาการอวยพรจากพระเจ้า จึงขอติดตามแม่สามี จนกระทั่งพระพรนั้นตกอยู่กับเธอ
นรธ.1:16-17
1:16 แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
1:17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่งกว่า”
นรธ.4:12-17
4:12 ขอให้วงศ์วานของท่านเหมือนวงศ์วานของเปเรศซึ่งทามาร์คลอดให้แก่ยูดาห์ เนื่องด้วยเชื้อสายซึ่งพระเยโฮวาห์จะประทานแก่ท่านโดยผู้หญิงคนนี้”
4:13 ดังนั้นโบอาสก็รับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน และท่านก็เข้าหานางและพระเยโฮวาห์ประทานให้นางตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง
4:14 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในอิสราเอล
4:15 ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากบุตรสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน”
4:16 แล้วนาโอมีก็รับเด็กนั้นมาอุ้มไว้แนบอก และรับเป็นผู้เลี้ยงดูแลเด็กคนนั้น
4:17 หญิงชาวบ้านข้างเคียงก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดกันว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด
(ข้อ 9-29 ) ในส่วนของเปโตรพระเจ้าทรงสำแดงกับเขาเป็นการส่วนตัวในรูปแบบนิมิต เพื่อเป็นการเตรียมใจและเปิดใจเขาก่อน อันเนื่องจากเปโตรเป็นชาวอิสราเอล ซึ่งมีธรรมเนียมห้ามข้องเกี่ยวกับชาวต่างชาติ (ข้อ 28) … อีกทั้งสิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเปโตรและชนชาติอิสราเอล ไม่เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน … ในความไม่เข้าใจทั้งหมดถึงนิมิตนั้น แต่เปโตรเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และทุกสิ่งถูกเปิดความเข้าใจ เมื่อเขาได้พบกับโครเนลิอัส เป็นการบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้า
(ข้อ 30-33) การที่โครเนลิอัสเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าทำและสำแดงแก่ตนให้เปโตรฟัง เป็นการรับรอง confirm ซึ่งกันและกัน
– สิ่งที่เปโตรได้รับนิมิตจากพระเจ้า เวลานี้เองที่ทำให้เปโตรเข้าใจทั้งสิ้นถึงนิมิตที่พระเจ้าสำแดงเรื่องอาหารในห่อผ้า (ข้อ 11-16)
– สิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับโครเนลิอัส เพื่อเชิญเปโตรมาที่บ้านของตน
(ข้อ 34-43) เป็นคำตอบของการสำแดงของพระเจ้าทั้งต่อโครเนลิอัส และเปโตร …คือ…
– การให้เปโตรประกาศข่าวประเสริฐกับคนต่างชาติ >> ทำลายกำแพงระหว่างชนชาติ
– การให้คนต่างชาติรับเชื่อ >> จุดเริ่มต้นยุคใหม่ คือ ข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติ
1. บางครั้ง บางสิ่ง โดยเฉพาะความยำเกรงพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ความสัตย์ซื่อ ผู้เชื่อบางคนยังสู้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าแต่มีใจปรารถนาหาพระองค์ไม่ได้เลย … ความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้ามีมาถึงคนที่สัตย์ซื่อและแสวงหาพระเจ้าเป็นแน่ แม้ว่าจะทำแบบคลำทาง ถูกบ้างผิดบ้าง เมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะส่งคน ส่งทูตสวรรค์ ในการนำเขาเข้ามาอยู่ในกระบวนการของพระเจ้าเอง … นั่นสะท้อนให้เห็นว่า… พระเมตตาของพระเจ้าไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ผู้เชื่อ ไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีไปถึง ใครก็ตามที่เสาะแสวงหาพระเจ้าต่างหาก
2. หลายครั้ง หลายสิ่ง พระเจ้าสำแดงและเปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าจะผ่านทางใดก็ตาม (นิมิต , ความฝัน , คำตรัส , ประสบการณ์บางอย่าง , … ) แต่ตัวเราเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมด นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของผู้ที่ปรารถนาจะเดินตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ที่ปรารถนาจะให้พระองค์ทำงานผ่าน เพราะแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หากว่ามั่นใจในเสียงที่ทรงตรัส ในสิ่งที่ทรงสำแดง และรู้แก่ใจว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้าเป็นแน่ … การเดินตาม การก้าวออกไป จะค่อยๆ เปิดเผยถึงความสมบูรณ์ของความเข้าใจแก่เราเอง …
ดั่งที่เปโตรก็ไม่เข้าใจถึงนิมิตนั้น ไม่รู้ว่าจะไปหาโครเนลิอัสทำไม ไปเพื่อทำอะไร แต่เขารู้ว่าพระเจ้าให้เขาไป เขาจึงไป และทุกสิ่งถูกเปิดเผยว่าพระเจ้าใช้เขาไปหาโครเนลิอัส เพราะพระเจ้าสำแดงแก่โครเนลิอัสเป็นการส่วนตัว เพื่อให้เปโตรมาประกาศ นำรับเชื่อ คนกลุ่มนี้ อันเป็นคนต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่เชื่อพระเจ้า …
จากการเชื่อฟังและทำตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เปโตรได้รับการสอนสิ่งใหม่ๆ เป็นผลให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์มาก่อน สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยผ่านมือเปโตร เพราะเขาไม่ถูกจำกัดการเชื่อฟังพระเจ้าไว้เพียงแค่ต้องเข้าใจทุกอย่างก่อน ต้องรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ก่อน แล้วจึงก้าว แท้จริงในพระคัมภีร์ทุกคนต่างก้าวไปกับพระเจ้าแบบก้าวต่อก้าวทั้งนั้น ไม่มีใครรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงตัดสินใจก้าว เพราะนั่นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมันสมบูรณ์แล้ว (ความเชื่อเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ คือ ยังไม่เห็น แต่เชื่อว่ามีอยู่จริง แล้วจึงได้รับ) … >>
>> ผู้ที่นั่งรอคอยให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนสมบูรณ์ก่อนแล้วจึงก้าว = ไม่ได้ก้าวเลยสักก้าวเดียว ไม่มีความเชื่อและเชื่อฟังเลยแม้สักน้อย (ในขณะที่พระองค์ทรงสำแดงอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่าที่ไม่ก้าว ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่ไม่ตัดสินใจต่างหาก หากสามารถพูดได้ว่าพระเจ้าเปิดเผยและสำแดงแก่ตน ก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ก้าวไม่ได้…เพราะการเปิดเผยและสำแดงนั่นแหละ คือ การที่พระเจ้าบอกให้เราก้าวแล้ว) เพราะจะไม่มีวันและเวลานั้น เนื่องจากอาจจะถูกเลื่อนยกไปที่คนอื่นแทน และเมื่อมันเกิดขึ้นจริงและสำเร็จจริง คนที่ได้ก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับอย่างที่เปโตรได้รับ
3. ด้วยเหตุที่โครเนลิอัสดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนเขา ทำให้ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย ไม่เพียงโครเนลิอัสเท่านั้นที่มีประสบการณ์และได้รับ แต่ครอบครัวและคนสนิทก็ได้รับด้วยเช่นเดียวกัน (ข้อ 24 , 27) แสดงให้เห็นว่า โครเนลิอัสมีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างในด้านนี้จริงๆ และเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น
4. การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสดใหม่ตามยุคและวาระเวลาของพระเจ้าเสมอ ดังนั้น หลายสิ่งอาจเป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยมีปรากฏขึ้นในอดีตมาก่อน แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ สิ่งที่เราทำได้ คือ… การตอบสนองพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างวางเงื่อนไข เหตุผลต่างๆ ลง แล้วก้าวไป เพื่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยตา และรับพระพรด้วยมือของเราเอง ควรระมัดระวังการปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้เปโตรไม่เข้าใจ แม้เปโตรจะมีคำถามกับพระเจ้า แต่เขามีความเชื่อฟังสูงกว่าข้อสงสัยของตนเอง มนุษย์ผู้จำกัด แต่พระเจ้าไม่ทรงจำกัดเลย
261014
9:20 และโดยทันทีทันใดท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
9:21 คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกปุโรหิตใหญ่”
9:22 แต่เซาโลยิ่งมีกำลังทวีขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสนิ่งอึ้งอยู่ โดยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
9:23 และหลังจากนั้นอีกหลายวันพวกยิวได้ปรึกษากันจะฆ่าเซาโลเสีย
9:24 แต่เรื่องการปองร้ายของเขารู้ถึงเซาโล เขาทั้งหลายได้เฝ้าประตูเมือง คอยฆ่าเซาโลทั้งกลางวันและกลางคืน
9:25 แต่เหล่าสาวกได้ให้เซาโลนั่งในเข่งใหญ่ แล้วหย่อนลงจากกำแพงเมืองในเวลากลางคืน
9:26 ครั้นเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านใคร่จะคบให้สนิทกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก
9:27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครสาวก แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส
9:28 แล้วเซาโลเข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม
9:29 ประกาศออกพระนามของพระเยซูเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย
9:30 เมื่อพี่น้องรู้อย่างนั้นจึงพาท่านไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งไปยังเมืองทาร์ซัส
9:31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความปลอบประโลมใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น
1. การที่เซาโลเคยต่อต้านพระคริสต์อย่างที่สุด กลับใจใหม่มาเชื่อและเดินติดตามพระเจ้า ย่อมยังคงมีภาพเก่าๆ ของพฤติกรรมเซาโลติดตาผู้อื่นอยู่ เช่น การเข่นฆ่า การข่มเหง คริสเตียน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เชื่อคนอื่น แม้เซาโลจะมีประสบการณ์ที่เด่นชัดจากพระเยซูด้วยตนเองก็ตาม ถึงกระนั้นเซาโลไม่ได้ตีอกชกตัว โกรธผู้อื่น แต่เขากลับพิสูจน์ชีวิต พิสูจน์ผลแห่งการกลับใจใหม่ของเขา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างดี ประกาศพระนามพระคริสต์อย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆ วางคำครหาและการไม่ยอมรับลง แต่เดินหน้าติดตามพระเจ้าอย่างที่สุดในส่วนของตนเอง จนกระทั่งผู้เชื่อคนอื่นเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง และเชื่อวางใจในตัวเซาโลว่าเขากลับใจใหม่แล้วจริงๆ … เป็นปกติที่คนเราจะไม่ได้รับการยอมรับในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่ควรกระทำอย่างแรก … คือ … การจดจ่อในการยืนหยัดเดินติดตามพระเจ้าของตนอย่างสุดใจ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ตนเองจนผู้อื่นเห็นและสัมผัสได้ในที่สุด และเหตุนี้เองพระเจ้าจะเป็นผู้อยู่ฝ่ายเรา
2. (ข้อ 22) เซาโลไม่ได้มัวแต่นั่งท้อใจที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือการสนับสนุนเป็นอย่างดีในการเดินติดตามพระเจ้าของตนเอง แต่เขากลับมีกำลังใหม่ ซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะท้อนให้เห็นถึงขนาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ที่เขาแสวงหา… ท่ามกลางเสียงของผู้เชื่อเดิม , ท่ามกลางการรับผลเดิมๆ ที่เขาทำ , ท่ามกลางการพยายามเข้าใจวิถีชีวิตใหม่ในการเดินติดตามพระเจ้า ,… ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเซาโลเลย ที่ละทิ้งตำแหน่ง เกียรติยศชื่อเสียงที่มีในอดีต หันกลับมาหาพระเจ้าและรับใช้อย่างจริงจัง แต่เพราะเขามีประสบการณ์ตรงที่ชัดเจนกับพระเยซู (กจ.9:3-9) ทำให้เขาไม่ลดละและหันหลังกลับไป แม้ปราศจากที่พึ่งพา แต่เขากลับได้รับกำลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
กจ.9:3-9
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
3. (ข้อ 27-30) เมื่อเซาโลได้พิสูจน์ชีวิตด้วยการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจในส่วนของตนเอง ทำให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่หวาดระแวงเซาโลจากภาพในอดีตของเขา ได้เห็นว่าเซาโลเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ เขาเป็นคนของพระเจ้าแล้วจริงๆ การช่วยเหลือและสนับสนุนมาถึงอย่างมาก… แสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อในสมัยนั้นยินดีจะช่วยเหลือ ผู้ที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือกันและกันในความเชื่อ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง อีกทั้งเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรประกาศพระนามของพระคริสต์ โดยใครทำอะไรได้ก็ทำ ไม่มีเกี่ยงงอน (ข้อ 25)
4. (ข้อ 31) พระราชกิจของพระเจ้าจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก หากผู้เชื่อร่วมแรงร่วมใจกัน ในการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้สวนกระแสโลก คือ กระแสการต่อต้าน … แต่ยิ่งมีการต่อต้านมากเท่าไร การฟื้นฟูอันเนื่องจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งมากเท่านั้น ทั้งนี้การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้เชื่อเป็นปัจจัยสำคัญ
191014